รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การจัดการพลังงานชุมชนอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา บ้านหนองจิกรี ตำบลสร้อยละคร อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
A Sustainable energy management, the concept of sufficiency economy case study Ban Hnaghiktree sub district ladyao district, NakhonSawan
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
13 มกราคม 2557
วันสิ้นสุดโครงการ :
12 มกราคม 2558
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         วิกฤตการณ์พลังงานและราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง ก่อให้เกิดผลกระทบในทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ทั้งในทางตรงและทางอ้อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันโลก นักวิชาการด้านเศรษฐกิจได้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะถีบตัวสูงขึ้นจนผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตประมาณปี พ.ศ. 2583 สังคมโลกคงต้องเผชิญหน้ากับภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันอย่างแน่นอน (ปัทมา ศิริธัญญา, 2549: 2) โดยเฉพาะประเทศไทย มีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าที่สูงในแต่ละปี โดยในปี 2551 ประเทศไทยมีการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์สุทธิคิดเป็นมูลค่าสูงถึง890,700 ล้านบาท (กระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, 2551ก: 6) ปัญหาดังกล่าวทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงานเพิ่มมากขึ้นและมีการคิดและพัฒนาพลังงานทดแทนจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ โดยการนำแหล่งพลังงาน จากธรรมชาติ เช่น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ แรงขับดันของน้ำ คลื่น แรงลม รวมทั้งความร้อนใต้พิภพมาพัฒนาประยุกต์ให้เป็นพลังงานที่สามารถนำมาบริโภคได้ เพื่อแก้ปัญหาการหมดไปของพลังงานประเภทสิ้นเปลือง (Non Renewable Energy) และผลักดันพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ให้เป็นพลังงานหลักในอนาคตต่อไป นอกจากการนำพลังงานทางเลือกที่ว่ามาช่วยแก้ไขปัญหาแล้ว เครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาคือต้องมีการจัดการพลังงานและอนุรักษ์พลังงานที่ดี เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและให้เกิดความยั่งยืน จากการศึกษากิจกรรมด้านการพลังงานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559) รัฐได้วางยุทธศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับพลังงาน โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้ 1. ส่งเสริมการนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่ผลิตได้ในชุมชนและที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน เช่น ไบโอดีเซล พลังงานความร้อนจากการเผาไม้เศษวัสดุทางการเกษตรก๊าซชีวภาพที่ได้จากการหมักมูลสัตว์และเศษขยะอินทรีย์ เป็นต้น 2. สนับสนุนการผลิตพลังงานทดแทนภายในชุมชน โดยการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน ทั้งจากวัตถุดิบเหลือใช้จากครัวเรือนและการเกษตร อาทิ มูลสัตว์ ขยะฟางแกลบ เศษไม้ ตลอดจนถ่ายทอดวิธีการดูแลรักษาและการซ่อมบำรุงให้แก่ชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีศักยภาพในการผลิตพลังงานทดแทน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระดับชุมชนและท้องถิ่น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงลดมลภาวะแก่ชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมการผลิตพืชพลังงานทดแทนที่ไม่ใช่อาหารและมีความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น เช่นสบู่ดำ เป็นต้น ประเทศไทยต้องนำเข้าพลังงานสิ้นเปลืองจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะน้ำมันดิบเกือบ 90% ของน้ำมันดิบที่ใช้ในประเทศต้องนำเข้า ซึ่งทำให้ขาดความมั่นคงด้านพลังงาน และพลังงานสิ้นเปลืองยังสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เช่น การปล่อยมลพิษทางอากาศ การเกิดภาวะโลกร้อน การที่สามารถพึ่งตนเองได้โดยการนำพลังงานที่มีอยู่ในประเทศมาใช้จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้และด้วยสภาพ ภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้อ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานทางเลือกที่มีภายในประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานชีวมวล พลังงานความร้อนใต้พิภพวัสดุเหลือใช้ (Waste to Energy) เช่น ยางรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ประเทศสามารถผลิตพลังงานใช้เองได้การจัดหาแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในประเทศมาใช้นั้นเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยต้องคำนึงถึงการใช้ที่ไม่สิ้นเปลืองใช้อย่างมีเหตุมีผล พึ่งตนเองเป็นหลัก และต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบๆ เช่นกัน หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสเสนอแนะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยนับเป็นเวลานานกว่า 25 ปี ในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ เน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งคำว่าความพอเพียงจะประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อมๆ กัน คือ (คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสำนักคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2548: 15-16) 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ 3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล และมี 2 เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ 1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้นำมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จากเกษตรทฤษฎีใหม่ซึ่งเกษตรทฤษฎีใหม่เป็นการนำกรอบแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ซึ่งถือว่าเป็นตัวอย่างการนำมาใช้ที่เห็นได้ชัดเจนและมีประสิทธิผลที่สามารถพิสูจน์ได้ โดยมีการจัดแบ่งที่ดินเป็นสัดส่วน 30:30:30:10 ในการปลูกข้าว ปลูกพืชไร่ ขุดสระน้ำและที่อยู่อาศัย ตามลำดับ ซึ่งได้มีการนำไปใช้กับชุมชนต่างๆทั่วประเทศเป็นจำนวนมากและยังมีการนำมาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น สหกรณ์โคนมหนองโพธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจโรงแรม และในบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศหลายบริษัท เช่น บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการพลังงานของประเทศเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำอย่างยิ่ง ทุกวันนี้เราใช้พลังงานอย่างขาดความระมัดระวัง โดยที่ไม่ได้มองถึงอนาคตที่จะมีการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งไม่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เราใช้พลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการโดยที่ไม่ได้คิดจะลดการใช้พลังงานโดยการประหยัดพลังงานมากกว่าที่จะหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และที่สำคัญเราต้องพึ่งพาต่างประเทศด้านการจัดหาพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการไม่พึ่งตนเองและยังทำให้ประเทศขาดความมั่นคงด้านพลังงาน ฉะนั้นประเทศควรหาทางสร้างความพอประมาณและสร้างภูมิคุ้มกันด้านพลังงาน คงมีคำถามที่ว่าเราจะพึ่งตนเองด้านพลังงานได้มากขนาดไหนและจะทำได้ในลักษณะใดบ้าง ผู้ศึกษาจะมุ่งเน้นหาข้อเสนอแนะการจัดการพลังงานในระดับชุมชนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้เพราะเป็นการจัดการพลังงานขนาดเล็กสามารถที่จะบริหารจัดการและพึ่งตนเองได้ง่าย การผลิตพลังงานใช้ได้เองภายในชุมชนสามารถช่วยประเทศลดการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ซึ่งเป็นการลดการกู้ยืมเงินจากต่างชาติได้
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานของชุมชน บริบทชุมชน และการใช้พลังงานของชุมชน 2. เพื่อสร้างเทคโนโลยีพลังงานชุมชนที่เหมาะสมของชุมชน 3. เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานชุมชนที่เหมาะสมกับชุมชนอย่างยั่งยืน
ขอบเขตของโครงการ :
เพื่อให้การวิจัยครั้งนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้วิจัยจึงได้กำหนดของเขตของการวิจัยไว้ดังนี้ คือ 7.1 ขอบเขตประชากร/พื้นที่การวิจัย 7.1.1 ขอบเขตด้านประชากร ได้แก่ กลุ่มประชากรที่อยู่ในพื้นที่บ้านหนองจิกรี ตำบลสร้อยละคร อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ คือ ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ฯลฯ 7.1.2 ขอบเขตด้านพื้นที่ ได้แก่ บ้านหนองจิกรี ตำบลสร้อยละคร อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ 7.2 ขอบเขตด้านเนื้อหาการศึกษาวิจัย ได้แก่ บริบทพื้นฐานของชุมชน ด้านการใช้พลังงาน การสร้างเทคโนโลยีพลังงานชุมชนที่เหมาะสมของชุมชน และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานชุมชนที่เหมาะสมกับชุมชนอย่างยั่งยืน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         13.1 ขั้นตอนของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดขั้นตอนของการศึกษาประกอบไปด้วยขั้นตอนการวิจัยที่จำแนกได้ 3 ระยะ ดังรายละเอียด คือ ระยะที่ 1 ศึกษาบริบทชุมชน การใช้พลังงาน และศักยภาพ (1) การประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย ผลประโยชน์ที่จะได้รับของชุมชนและ ของคณะผู้วิจัยโดยการจัดเวทีสาธารณะ (2) คณะผู้วิจัยร่วมกับผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการจากพลังงานจังหวัด และชาวบ้านที่สนใจด้านการจัดการพลังงาน ร่วมกันลงพื้นที่สำรวจเก็บข้อมูลพลังงานในพื้นที่ โดยการสำรวจข้อมูลด้านพลังงานในระดับชุมชน โดยการศึกษาสำรวจข้อมูลพื้นฐาน เอกสารทางวิชาการต่างๆ และการสนทนากลุ่ม เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลพื้นฐานด้านศักยภาพของชุมชนบ้านหนองจิกรี (3) คณะผู้วิจัยร่วมกับแกนนำของชุมชนและชาวบ้าน บ้านหนองจิกรีเดินทางไปศึกษาตามศูนย์การเรียนรู้พลังงานชุมชน และเทคโนโลยีพลังงาน ตามชุมชนที่ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา (4) คณะผู้วิจัยร่วมกับแกนนำของชุมชนบ้านหนองจิกรีจัดสนทนากลุ่ม โดยสะท้อนข้อมูลได้รับรู้และตรวจสอบข้อมูลด้านพลังงานของชุมชนเองว่ามีปริมาณเท่าใด และสูญเสียเงินไปกับการบริโภคพลังงานประเภทต่างๆเป็นมูลค่าเท่าใด ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ เพราะเป็นขั้นตอนที่ทำให้คนในชุมชนได้คิดทบทวนถึงสาเหตุของการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง และก่อให้เกิดความตระหนักว่า มีค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงวิธีการในการลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานได้เป็นอย่างดี เพื่อนำมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกับรูปแบบของเทคโนโลยีพลังงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อดำเนินการหาทางเลือกเบื้องต้นด้านรูปแบบการผลิตเทคโนโลยีพลังงานที่มีความเหมาะสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับการนำไปศึกษาและทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ ระยะที่ 2 ศึกษาและผลิตเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสมกับชุมชน (1) คณะผู้วิจัย สืบค้นและนำเสนอข้อมูลทางวิชาการของเทคโนโลยีพลังงานในรูปแบบต่างๆ จากข้อเสนอในระยะที่ 1 อาทิเช่น รูปแบบเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพแบบครัวเรือน(Biogas for Home) รูปแบบเทคโนโลยีพลังงานชีวมวล เป็นต้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มชาวบ้านต่อรูปแบบเทคโนโลยีพลังงานที่เลือกใช้โดยวิธีการสนทนากลุ่ม (2) คัดเลือกพื้นที่วิจัย ภายในชุมชน เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสมสำหรับบ้านหนองจิกรี โดยศึกษาถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีพลังงานที่เลือกใช้ (3) คณะผู้วิจัยร่วมกับผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการจากพลังงานจังหวัด และชาวบ้าน ร่วมกันจัดเวทีสาธารณะเพื่อคืนข้อมูลที่ได้จากการศึกษาและทดลอง มาตรวจสอบความถูกต้อง ศึกษาถึงข้อจำกัดและข้อดีของเทคโนโลยีพลังงานที่เลือกใช้ โดยร่วมกันวิเคราะห์เทคโนโลยีที่ศึกษาเพื่อนำสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ให้กับคนในชุมชน (4) คณะผู้วิจัยร่วมกับผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาชุมชนบ้านหนองจิกรีและร่วมกันสร้างเทคโนโลยีพลังงานกับพื้นที่ในชุมชนเพื่อเป็นฐานในการเรียนรู้ ระยะที่3 การสร้างความยั่งยืนการใช้เทคโนโลยีพลังงานชุมชน (1) คณะผู้วิจัย นำเสนอผลการศึกษาในปัจจัยที่ได้ให้ผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบความถูกต้อง สังเคราะห์และถอดบทเรียนเป็นกรณีศึกษาของชุมชน (2) คณะผู้วิจัย นำเสนอรูปแบบพลังงานทางเลือกเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสมสำหรับระดับครัวเรือนระดับชุมชน ให้กับคณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลสร้อยละคร เพื่อพัฒนาไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะระดับท้องถิ่น (3) คณะผู้วิจัย นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่ผ่านการสังเคราะห์ผลการวิจัยอย่างเป็น ระบบ ในลักษณะของการสื่อสารสาธารณะ ให้กับสังคมได้รับทราบถึงการสร้างพลังงานทางเลือกเทคโนโลยีพลังงานให้ชุมชนโดยชุมชนและเพื่อชุมชน (4) คณะผู้วิจัย จัดการถ่ายทอดและฝึกอบรมการผลิตเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกให้กับกลุ่มชาวบ้าน
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
-
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นายณัฐเศรษฐ์ น้ำคำ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 60%
2 นายสุรชัย บุญเจริญ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 15%
3 นายมนตรี ใจเยี่ยม นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 15%
4 นายภูริช ยิ้มละมัย นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 10%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย