รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองเขตประชาคมอาเซียน ในวิชาพลศึกษา ในนักเรียนช่วงอายุ 10 - 12 ปี
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
The Development of Blended Learning Model by Applying The Indigenous games and sports of AEC in Physical Education For students aged 10-12 years. ชื่อแผนงานวิจัย (ภาษาไทย) (กรณีเป็นโครงการวิจัยภายใต้แผนงานวิจัย)
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะครุศาสตร์
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
1 ธันวาคม 2557
วันสิ้นสุดโครงการ :
30 พฤศจิกายน 2558
ประเภทของการวิจัย :
การพัฒนาทดลอง
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         จากกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับความหลากหลายทั้งด้านสังคมและระบบเศรษฐกิจซึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตเป็นอย่างมาก ทำให้หลายประเทศต้องเร่งเตรียมพร้อมโดยการสร้างกลไกและพัฒนาคนให้มีศักยภาพสูงขึ้น ให้สามารถปรับตัวและรู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและเท่าเทียม ประเทศสมาชิกอาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย 10 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศ การอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน การรับรู้มรดกทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกัน และเชื่อมในอัตลักษณ์ของภูมิภาค ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ได้ตระหนักถึงบทบาทและภารกิจสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือกับอาเซียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของอาเซียนในเวทีโลก โดยเฉพาะการใช้กลไกความร่วมมือด้านการศึกษานำพาอาเซียนสู่การเป็นประชาคมที่มีความมั่นคง ดังคำกล่าวตอนหนึ่งของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ที่ว่า “ประชาชนของอาเซียนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของอาเซียน เราต้องทำให้แน่ใจว่า พวกเขามีช่องทางที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาบุคคล และเราควรดำเนินการดังกล่าวโดยการส่งเสริมและลงทุนในด้านการศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเสริมสร้างศักยภาพในด้านอื่น ๆ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า การลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตของประชาคม ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสร้างประชาคมที่ยั่งยืนต่อไป” (ฟาฏินา วงศ์เลขา, 2553) จะเห็นได้ว่า การศึกษาเป็นตัวนำสำคัญในการขับเคลื่อนให้สามารถก้าวไปได้อย่างมีทิศทาง ผสานประโยชน์ จากการระดมความคิดในหลากหลายเวทีจากผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 เสาหลัก รวมถึงผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอน นักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้อง พบข้อเสนอแนวทางมากมาย เช่น การให้ความรู้แก่พลเมือง ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้าน การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน และจิตสำนึกของพลเมืองอาเซียน ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมจัดกิจกรรมด้านการศึกษา สร้างเด็กให้มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานแลสถานประกอบการ การจัดหลักสูตรการศึกษาอาเซียน ด้วยการส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้าน เป็นต้น (ฟาฏินา วงศ์เลขา, 2553) ระบบการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างพื้นฐานในด้านการคิด สร้างวิธีการเรียนรู้ให้คนไทยมีทักษะในการจัด และทักษะในการดำเนินชีวิตที่สามารถเผชิญกับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ (นวลพรรณ ไชยมา, 2554) และจากการศึกษาของไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ (2548) พบว่า กระบวนการเรียนรู้ของไทยไม่ได้สร้างปัญญาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้อย่างแท้จริง เนื่องจากการเรียนการสอนยังมีลักษณะป้อนโดยการบรรยายของครูผู้สอนทำให้ผู้เรียนต้องจดท่องจำตามที่อาจารย์บอกเป็นหลัก ส่งผลให้สิ่งที่เรียนมากลายเป็นความรู้ที่ไม่สามารถใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2543) ทำให้เกิดแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและประสบผลสำเร็จมากที่สุดจากการศึกษา ในการเรียนรู้ทางพลศึกษาผู้เรียนจะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมในกิจกรรมทางกาย และกีฬาทั้งประเภทบุคคล และประเภททีมอย่างหลากหลายทั้งของไทย และสากล นอกจากผู้เรียนจะได้พัฒนาศักยภาพทางกายอย่างเต็มที่แล้ว ยังได้เรียนรู้ และฝึกฝนตนเองตามกฎกติกา ระเบียบ และหลักการทางวิทยาศาสตร์จากการแข่งขัน และการทำงานร่วมกันเป็นทีมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการได้รับประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด ความสนใจ และร่วมเสริมสร้างให้ ผู้เรียนรักการออกกำลังกายมากขึ้นไปอีก และกวิน คเชนทร์เดชา (2546, อ้างถึงใน สุชาดา เรืองดำ: 2547 ) กล่าวว่า เมื่อนักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมทางพลศึกษาแล้ว จะต้องได้รับการพัฒนาใน 3 ด้าน คือ ร่างกาย สติปัญญา จิตใจ ซึ่งสอดคล้องกับวาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2544) กล่าวว่า วิชาพลศึกษาซึ่งเป็นการศึกษาแขนงหนึ่งนั้นมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เช่นเดียวกับวิชาอื่นๆ แต่ใช้กิจกรรมการออกกำลังกาย ( กีฬา ) เป็นสื่อ และกิจกรรมเหล่านั้นได้รับการคัดสรรเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับ บุชเชอร์ (Bucher, 1964 : 27 – 28 ) กล่าวว่า พลศึกษาเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการทางการศึกษา พลศึกษาไม่ได้เป็นเพียงวิชาเพิ่มในหลักสูตร แต่เป็นโปรมแกรมในการสอนของโรงเรียน มีไว้เพื่อไม่ให้เด็กมีเวลาว่าง และพลศึกษายังเป็นส่วนสำคัญของการศึกษา ตลอดจนเป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีทิศทางที่ถูกต้องในการพัฒนาทักษะของเด็กอย่างมีคุณค่ารวมทั้งในด้านการใช้เวลาว่าง ให้เป็นประโยชน์การร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่แข็งแรง มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย ด้านสังคม และจิตใจที่ดี พลศึกษาจึงเป็นวิชาที่มีความสำคัญ อันจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ในการเรียนของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี การเล่นเกมเป็นสิ่งที่สนุกท้าทายผู้เล่นมีความสนุกสนานและยังเป็นการส่งเสริม การเตรียมความพร้อมในเรื่องทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐานของมนุษย์ บุคคลใดมีทักษะ การ เคลื่อนไหวพื้นฐานก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายในระดับที่สูงขึ้นได้ นั่นคือ มีความพร้อมที่จะเล่นเกมและกีฬาที่ยากสลับซับซ้อนมากขึ้นได้เป็นอย่างดี เป็นผลต่อการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีสมรรถภาพร่างกายที่แข็งแรง อีกทั้งยังส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน ในสังคมได้อย่างมีความสุข เกมแต่ละเกมให้คุณค่าแตกต่างกันออกไป บางเกมส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ บางเกมส่งเสริมและพัฒนาด้านสติปัญญา พรพนา ช่างเกวียน (2544: 88 - 89) การละเล่นพื้นบ้าน เป็นผลดีทางด้านร่างกาย การละเล่นพื้นบ้านให้คุณค่าส่งเสริมทางด้านร่างกายกับผู้เล่นครบถ้วนทุกคุณค่า เรียงลำดับคุณค่าที่ได้รับจากมากไปหาน้อย คือ ได้รับคุณค่าเกี่ยวกับความอ่อนตัว ความแม่นยำ การทรงตัวที่ดีการประสานงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ความแข็งแรง พลังของกล้ามเนื้อ ความเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไว และความอดทนของระบบหายใจ การฝึกที่มีหลากหลายกิจกรรม สามารถจัดกิจกรรม ตามวัตถุประสงค์ของการฝึก เพื่อให้เกิดการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายตามต้องการ ทำให้เกิดความสนุกสนาน ตื่นเต้น ท้าทาย เพลิดเพลิน มีเวลาพักขณะฝึก ไม่หนักเกินไปสำหรับนักเรียน ทำให้เกิดผลดีต่อการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายตามต้องการ (ชัชชัย โกมารทัต, 2549: 120) การละเล่นพื้นบ้านเป็นเกมอย่างหนึ่ง ที่จัดกิจกรรมส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะขณะที่นักเรียนเล่นนั้นนักเรียนได้รู้จัก เกิดความรู้ เจตคติที่ดี ทักษะในการเคลื่อนไหวสมรรถภาพทางกาย และพัฒนาการทางสังคมได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตอบสนองความใคร่รู้เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้การเล่น ยังทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเป็นอิสระ สนุกสนานเพลิดเพลินและพร้อมที่จะกระทำกิจกรรมนั้นๆ ดังนั้น เพื่อให้การสอนของครูเป็นที่สนใจและเกิดคุณค่าทางการศึกษายิ่งขึ้น จึงได้นำการจัดประสบการณ์การละเล่นพื้นบ้านซึ่งจะช่วยให้ครูจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน ตลอดจนนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญาของนักเรียนในระดับประถมศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาผลของการประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประทศในเขตประชาคมอาเซียน เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ในวิชาพลศึกษาเพื่อให้เกิดทัศนคติ และการพัฒนาผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องประชาคมอาเซียน 7. วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย 7.1 เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียนในวิชาพลศึกษา ของนักเรียนในระดับอายุ 10-12 ปี 7.2 ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน โดยการใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียน ที่มีทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อนักเรียนในระดับอายุ 10-12 ปี
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
ขอบเขตของโครงการ :
การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียนเพื่อพัฒนาทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนโรงเรียนรัฐบาลในเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ช่วงอายุ 10 - 12 ปี กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา คือ นักเรียนโรงเรียนรัฐบาลขนาดกลางในเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ช่วงอายุ 10 - 12 ปี โดยวิธี การเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากกลุ่มตัวอย่างที่ได้ ทำการวัด pre-test และนำมาเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 8 โรงเรียน และเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 8 โรงเรียน โดยกลุ่มทดลองได้รับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียน ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียน ตัวแปรต้นที่ทำการศึกษาได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยการประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองของประเทศในเขตประชาคมอาเซียน ส่วนตัวแปรตาม คือ ทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมอาเซียน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
- ได้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองเขตประชาคมอาเซียน ที่มีทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน - เป็นการสนับสนุนหลักสูตรในระดับประถมศึกษาเพื่อไปใช้ในการเรียนการสอน ที่มีผลต่อทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน - เป็นแนวทางในการจัดรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อผลการเรียนทางพลศึกษา
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยการประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองเขตประชาคมอาเซียน ที่มีทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขั้นตอนที่ 4 การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยการประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองเขตประชาคมอาเซียน ที่มีทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขั้นตอนที่ 5 การประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานโดยการประยุกต์ใช้เกมและกีฬาพื้นเมืองเขตประชาคมอาเซียน ที่มีทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สถานที่ทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล - โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 3 วิธีดำเนินการทดลอง 1. ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ขอใช้กลุ่มตัวอย่าง และสถานที่ทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการทดลอง 2. ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และแก้ไขข้อบกพร่องของโปรแกรมการทดลอง 3. ทดสอบทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกลุ่มตัวอย่าง แล้วนำผลการทดสอบมาหาค่าเฉลี่ย 4. นำค่าเฉลี่ยของผลการทดสอบทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทางพลศึกษาของกลุ่มตัวอย่างมาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ด้วยวิธีการสุ่มแบบเข้ากลุ่ม (randomly assignment) 5. เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ตามโปรแกรมของแต่ละกลุ่ม ทำการจัดการเรียนรู้เป็นเวลา 16 สัปดาห์ๆ ละ 1 วันๆ ละ 50 นาที 6. ทดสอบผลการทดสอบทัศนคติ และผลการเรียนรู้ในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหลังการจัดการเรียนรู้สัปดาห์ที่ 15 ของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม 7. นำข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการทดสอบไปวิเคราะห์ทางสถิติ 8. สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
-
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นายทินกร ชอัมพงษ์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%
2 นายวุฒิชัย ประภากิตติรัตน์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 10%
3 นายสยาม ทองใบ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 50%
4 นายธนสิริ โชคทวีพาณิชย์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย