รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การศึกษาและพัฒนารูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัครท้องถิ่นโดยการประยุกต์ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการประสานงานระหว่างบุคคลและกลุ่ม
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
Studying and Developing Achievement Leader Model for Volunteer Groups in Community by Using Social Networking with Coordination between Individuals and Groups
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
สถาบันวิจัยและพัฒนา
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
30 ตุลาคม 2560
วันสิ้นสุดโครงการ :
29 ตุลาคม 2561
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         ในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจสังคมดิจิตอลในศตวรรษที่ 21 หลายประเทศได้ดำเนินการปฏิรูปขนานใหญ่อย่างเป็นระบบ เพื่อรับมือกับชุดของโอกาส ความเสี่ยง และภัยคุกคามชุดใหม่ ทำการรื้อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม โครงสร้างพื้นฐาน ปรับเปลี่ยนระบบคุณค่าและวัฒนธรรมการดำรงชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ โดยการยกระดับคุณภาพในทุกภาคส่วนและปรับเปลี่ยนให้เป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง ฉะนั้น เป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ของประเทศไทย ก็คือ การพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศในโลกที่หนึ่งภายในปี 2575 โดยกลไกขับเคลื่อนความมั่งคั่งของประเทศไทยเป็น “โมเดลประเทศไทย 4.0” ปรับเปลี่ยนจากประเทศ “รายได้ปานกลาง” เป็นประเทศ “รายได้สูง” ปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ประสิทธิภาพ” เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย“นวัตกรรม”จึงเน้นการ “พัฒนาที่สมดุล” ใน 4 มิติ กล่าวคือ มีความสมดุลในความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การรักษ์สิ่งแวดล้อม การมีสังคมที่อยู่ดีมีสุข และการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ โดยการพัฒนาที่สมดุลตั้งอยู่บนฐานคิดของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ว่า “เมื่อพร่อง ต้องรู้จักเติม เมื่อพอ ต้องรู้จักหยุด เมื่อเกินต้องรู้จักปัน”ซึ่งเป็น “ระบบคุณค่าใหม่” ที่จะสามารถนำพาประเทศไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพลวัตโลก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน (ฐานเศรษฐกิจ, 2558) นอกจากการที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทันกระแสโลกด้วยการเตรียมก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ที่ธุรกิจจะต้องแข่งขันกันด้วยความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม แล้วยังมีปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 4.0 ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะต้องเตรียมหาหนทางรับมือที่เหมาะสมกับองค์กรของตนสู่ HR 4.0 ทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ @ Thailand 4.0 โดยแนวโน้มสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่ 1) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุส่งผลให้องค์กรต้องสูญเสียองค์ความรู้ ประสบการณ์ เทคนิค เคล็ดลับต่างๆ ที่สั่งสมในตัวบุคลากรเหล่านั้นไปด้วย และต้องการหาหนทางให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากพนักงานรุ่นเก่าไปสู่พนักงานรุ่นใหม่ 2) การปรับรูปแบบการทำงานกับคนรุ่นใหม่Gen Y ที่เข้ามาใน3) การเกิดที่ทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Digital Workplaceที่ข้อมูลแทบทุกอย่างในอนาคตจะถูกเชื่อมโยงอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต จะมีวิธีบริหารการทำงานผ่านระบบออนไลน์อย่างไร และจะบริหารจัดการดิจิทัลคอนเทนต์ในองค์กรให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร 4) ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะอยู่ใน Mobile Technology ที่การทำธุรกรรมหรือการทำงานอื่นๆ จะสามารถดำเนินการผ่าน Mobile Technology เช่น สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการบริหารจัดการอาจต้องกระทำผ่าน Mobile Technology เช่นเดียวกันและ 5) สังคมของการมีส่วนร่วม จึงต้องพร้อมที่จะสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นภายในองค์กร และสร้างโอกาสให้บุคลากร รวมถึงผู้รับบริการขององค์กร สามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้และความคิดสร้างสรรค์กันได้ตลอดเวลาเป็นต้น (กองบรรณาธิการวารสาร HR Society Magazine, 2559) สำหรับชุมชนท้องถิ่นก็เช่นเดียวกันที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อเข้าร่วมการเปลี่ยนผ่านสู่ Thailand 4.0 ซึ่งนอกจากที่จะมุ่งเน้นสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนแล้วจาก 2 แนวคิดสำคัญประกอบด้วย "Strength from Within" คือการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน และ "Connect to the World" ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่ายให้เกิดการขยับปรับเปลี่ยนสถานะของผู้คนในสังคมเป็นผู้ประกอบการแล้ว ยังมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีจิตอาสาทำงานเพื่อชุมชนท้องถิ่น คือ กลุ่มอาสาสมัครต่างๆ ที่เป็นมวลชนจัดตั้งขึ้นภายในชุมชนท้องถิ่น ได้แก่ กลุ่มองค์กรสตรีประจำหมู่บ้านกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)กลุ่มอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.)และ กลุ่มประสานงานพลังแผ่นดิน เป็นต้น ซึ่งกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนที่ตรงต่อความต้องการ และอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)มีหน้าที่ความรับผิดชอบในการส่งเสริมสุขภาพ ให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน จัดกิจกรรมเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสาธารณสุขในหมู่บ้าน กิจกรรมเฝ้าระวังด้านสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค บริหารจัดการวางแผน แก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน ชักชวนเพื่อนบ้านเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทหน้าที่ของ อสม. ในการสื่อข่าวสารสาธารณสุขระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในหมู่บ้านซึ่งเป็น “ผู้นำ” หรือผู้ประสานที่สำคัญที่ต้องมีคุณสมบัติในการนำความรู้หรือข่าวสารต่างๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม อสม. หรือ หน่วยงานภาครัฐที่ให้การสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสะดวก รวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แต่จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า การประสานงานของผู้นำมีความคลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน หรือผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิมจึงทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน การสื่อสารหยุดชะงัก จนเกิดเป็นข้อขัดแย้งภายในกลุ่ม อสม. ประชาชน และหน่วยงานต้นสังกัดส่งผลให้งานไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ ประชาชนมีความพึงพอใจในการบริการน้อยลง และสัมพันธภาพระหว่างกลุ่ม ประชาชน และเครือข่ายไม่เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริง รวมไปถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของชุมชนกระทำได้ยากขึ้นอีกด้วย จากการศึกษารายงานผลการศึกษาการประเมินศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กับบทบาทที่กำลังเปลี่ยนแปลง(สุจินดา สุขกำเนิด, 2551) พบว่า อสม.ส่วนใหญ่มีศักยภาพสูง และทำงานได้ดีในกิจกรรมการรณรงค์ตามช่วงเวลาที่ชัดเจน ได้แก่ การเฝ้าระวังโรคและการสำรวจข้อมูล ปัญหาคือขาดการเป็นผู้นำในสังคม ดังนั้นรัฐพึงสนับสนุนงานที่เหมาะสม และควรกำหนดแผนการอบรมเพื่อส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านสุขภาพให้กับอสม.หญิงมากขึ้นและให้ความรู้ที่เป็นปัญหาของพื้นที่ การเพิ่มความรู้อสม.ควรจำแนกกลุ่ม ได้แก่กลุ่มอสม.ใหม่ ควรจัดการอบรมให้มีความรู้พื้นฐานในด้านการดูแลสุขภาพ สำหรับ กลุ่มอสม.เก่า ควรพัฒนาความเป็นผู้นำมากขึ้น ส่วนการเพิ่มทักษะความสามารถของอสม. ปัจจุบันจึงเป็นเพียงแค่การจัดการการเฝ้าระวังโรคท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้หวัดนก เป็นต้น และสร้างขวัญกำลังใจให้อสม.ทำงาน ‘เชิงอาสา’ มากกว่าทำตามคำสั่งเจ้าหน้าที่อีกทั้งจากรายงานการประเมินผลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556เรื่องโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก (สำนักประเมินผลสำนักงบประมาณ, 2556) พบว่า ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานโครงการฯ ประเด็นหนึ่งคือ การกำหนดให้อสม. ต้องจัดทำรายงานตามแบบฟอร์มต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเป็นการเพิ่มภาระงานที่ไม่ควรเป็นหน้าที่ของ อสม. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อสม. เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่มีข้อจํากัดด้านการอ่าน เขียน การจัดทำรายงานต่าง ๆ จึงตกเป็นภาระของบุตรหลานซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวคิดงานบริการสาธารณสุข ที่จะต้องไม่ให้ประชาชนทำรายงานยาว ๆ โดยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อสม. ลาออก และยังเป็นการเพิ่มภาระด้านค่าใช้จ่ายในการสำเนาเอกสารรายงานซึ่ง อสม. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เองโดยมีคณะประเมินผลได้พิจารณานำเสนอข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา และแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ว่า ควรลดภาระงานด้านการจัดทำรายงานต่างๆ ลง เพื่อช่วยลดภาระงาน อสม. ที่มีข้อจํากัดในการเขียน อ่าน และทำให้อสม. มีเวลาในการปฏิบัติงานในพื้นที่มากขึ้น จากปัญหาของ อสม. ข้างต้นนั้นเป็นปัญหาพื้นฐานจากแนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะของ คือ ทฤษฎีที่เน้นการหาคุณลักษณะทั่วไปของผู้นำที่มีคุณลักษณะเฉพาะที่สามารถนำกลุ่มในการดำเนินงานสู่เป้าหมายได้ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติเฉพาะของผู้นำในด้านการประสานงานและความร่วมมือของสมาชิกภายในกลุ่มและระหว่างเครือข่าย ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงทฤษฎีผู้นำเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory)คือ การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้นำกลุ่มและสมาชิกภายในกลุ่มโดยพฤติกรรมสื่อสารเพื่อการสร้างสัมพันธภาพที่ดีเพื่อให้เกิดการสนับสนุนในการช่วยเหลือการทำงานกลุ่มโดยจัดวางและกำหนดบทบาทหน้าที่พร้อมทั้งขอบเขตการปฏิบัติงานของสมาชิกภายในกลุ่มให้ชัดเจนว่าแต่ละคนต้องทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน ซึ่งรวมถึงรูปแบบและช่องทางในการสื่อสารด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของการปฏิบัติงานได้ตามทฤษฎีความต้องการประสบความสำเร็จ สำหรับการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ ความสำเร็จ อำนาจ และความผูกพัน โดยในการเป็นผู้นำชุมชนนั้นมุ่งหวังความต้องการความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญหรือต้องการทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น เหล่านี้มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือสนับสนุนในการปฏิบัติงานของกลุ่ม ปัจจุบัน การสื่อสารระหว่างกันและระหว่างกลุ่มโดยใช้เครือข่ายสังคม (Social Network) เป็นที่นิยมมากขึ้นและแพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นอย่างไร้พรมแดนผู้คนสามารถติดต่อกันได้ โดยไม่มีอุปสรรคด้านเวลา และระยะทาง ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารและโปรแกรมประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่นด้านการสื่อสารเครือข่ายสังคมผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ได้แก่ สมาร์ทโฟนแท็ปเล็ต เป็นต้น ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ห่างกันหรือไม่ได้เจอกัน สำหรับตัวอย่างแอพพลิเคชั่น เช่น แอพพลิเคชั่น LINE จัดเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับการติดต่อสื่อสาร ที่กำลังได้รับความนิยม และมีจำนวนของผู้ใช้งานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยให้การติดต่อสื่อสารมีความสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งช่วยในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความเป็นผู้นำของกลุ่ม อสม. ที่เป็นแกนนำในท้องถิ่นจึงควรมีรูปแบบของผู้นำอาสาสมัครแบบเฉพาะตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จากการพัฒนารูปแบบตาม 3 ทฤษฎีคือ 1) ทฤษฎีผู้นำตามคุณลักษณะเพื่อค้นหาลักษณะของบุคลิกภาพของผู้นำ 2) ทฤษฎีความต้องการประสบความสำเร็จ เพื่อมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของผู้นำกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ และ3) ทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์เพื่อมุ่งหวังให้เกิดสัมพันธภาพและทัศนคติที่ดีต่อกันในการประสานงานระหว่างสมาชิกภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม โดยมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายสังคมออนไลน์เข้ามาช่วยเนื่องจากมีใช้งานอยู่แล้วโดยไม่ต้องพัฒนาและใช้เวลาในการเรียนรู้น้อย ซึ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีคุณสมบัติในการสื่อสาร ส่งสาร ประสานงาน และ การส่งข้อมูลระหว่างบุคคลและกลุ่มนั้นกระทำได้ เช่น โปรแกรมไลน์ ซึ่งมีการบริการให้ใช้งานได้ฟรี และบางส่วนของ อสม. ก็ใช้สำหรับการสื่อสารได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่เพื่อให้การปฏิบัติงานกลุ่ม อสม. ในฐานะผู้นำที่สามารถบริหารจัดการงานให้เกิดสัมฤทธิผลได้อย่างต่อเนื่องและมีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับการทำงานในระดับท้องถิ่น จึงควรมีการศึกษาและพัฒนารูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัครซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเป็นผู้นำ ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน และ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครในท้องถิ่นได้อันจะเป็นการพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ และ การรองรับการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ท้องถิ่นมีการนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการช่วยให้ประชาชนได้มีโอกาสติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ได้อย่างกว้างขวางขึ้นพร้อมทั้งสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลด้านผู้นำการใช้เครื่องมือสื่อสารในการปฏิบัติงานผลสัมฤทธิ์ของงานและความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติงานของ อสม. ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัครท้องถิ่น 3) เพื่อถ่ายทอดรูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัคร ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 4) เพื่อบูรณาการการเรียนการสอนในรายวิชาภาวะผู้นำและการสร้างทีมงานและรายวิชาด้านเทคโนโลยีสารสนทศสำหรับนักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ขอบเขตของโครงการ :
ในการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการศึกษาเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1) ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลด้านผู้นำของ อสม. ที่แสดงถึงภาวะการเป็นผู้นำภายในกลุ่มอาสาสมัครรวมทั้งศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์และระดับความพึงพอใจของประชาชนที่ได้รับการบริการที่ผ่านมา เพื่อนำข้อมูลมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนารูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัครโดยการประยุกต์ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ร่วมในการปฏิบัติงานของ อสม. นอกจากนี้ จะทำการศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานตามรูปแบบใหม่ที่ได้ทำการพัฒนาขึ้นกับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ระดับประสิทธิภาพของการเป็นผู้นำของ อสม. ในกลุ่มอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานร่วมกัน และศึกษาระดับความความพึงพอใจของประชาชนที่ได้รับการบริการจากกลุ่ม อสม. ว่าอยู่ในระดับใดและมีระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ โดยนักศึกษาได้ใช้เป็นกรณีศึกษาที่เป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการการเรียนการสอนรายวิชาภาวะผู้นำและการสร้างทีมงานในเรื่องการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และการบูรณาการการเรียนการสอนรายวิชาการจัดการโครงการเทคโนโลยีสารสนทศในเรื่องการวางแผนการดำเนินงานอีกด้วย 2) ขอบเขตด้านกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้เป็นกรณีศึกษา คือ กลุ่ม อสม. กลุ่มอาสาสมัครต่างๆ และ ชาวบ้านตำบลหนองกรด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
1) ได้รูปแบบผู้นำมุ่งความสำเร็จของงานสำหรับกลุ่มอาสาสมัครที่สามารถสร้างสัมฤทธิผลของการปฏิบัติงานภายในกลุ่มได้ 2) สามารถเพิ่มระดับประสิทธิภาพของการเป็นผู้นำภายในกลุ่ม อสม. ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในด้านการประสานงานและการสื่อสารระหว่างบุคคลและกลุ่มได้ 3) ประชาชนในท้องถิ่นกลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของกลุ่ม อสม. มากขึ้น 4) มีการบูรณาการการเรียนการสอนในรายวิชาภาวะผู้นำและการสร้างทีมงานและรายวิชาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเรื่องการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และเรื่องการวางแผนการดำเนินงาน โดยนักศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการการวางแผนโครงการและบทบาทของการเป็นผู้นำภายในกลุ่มของนักศึกษาอีกด้วย
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
-
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นายสมพร พูลพงษ์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 80%
2 นางกาญจนา สดับธรรม นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย