รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม.
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
The development of integrated farming system in order to solve the smog pollution problem from burning agricultural areas
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะครุศาสตร์
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
1 ตุลาคม 2560
วันสิ้นสุดโครงการ :
31 มีนาคม 2562
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยพื้นฐาน(ทฤษฎี)/บริสุทธิ์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         จังหวัดนครสวรรค์เป็นจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีประชากร 1,072,868 คนความหนาแน่น 111.78คน ต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับการเกษตร พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ปี2558/2559 จังหวัดนครสวรรค์มีการปลูกข้าว มีจำนวน 3,638,055 ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี จำนวน 2,597,495 ไร่ ผลผลิตจำนวน 1,779.630 ตัน และพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 1,040,560 ไร่ ผลผลิตจำนวน 714.659ตัน (สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์,2559)http://www.nakhonsawan.doae.go.th/2016/index.php/2014-12-06-17-29-56. ในพื้นที่ปลูกข้าว 1 ไร่ มีปริมาณฟางข้าวและตอซัง โดยเฉลี่ย 650 กิโลกรัมด้านอ้อยโรงงานมีพื้นที่ปลูก 623,558 ไร่ ผลผลิต 4,835,723 ตัน ด้านข้าวโพดมีพื้นที่ปลูก219,481.75ไร่ ผลผลิตจำนวน99.631,894.07 ตัน ปัจจุบันในฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ของเกษตรกรในหลายๆ พื้นที่ หลังฤดูการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรนั้น สิ่งที่เราพบเห็นอยู่เป็นประจำคือ "การเผาฟางข้าว และตอซัง เผาอ้อย” โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีนี้ เพื่อให้ง่ายสำหรับขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การเตรียมดินปลูกข้าวในฤดูถัดไป โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา จึงเกิดคำถามขึ้นว่าเพราะอะไรเกษตรกรจึงนิยมใช้วิธีเผาฟางข้าว เผาอ้อย อาจเพราะเกษตรกรไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องผลเสียที่ตามมา ดังนั้นเราจึงนำองค์ความรู้ ประสบการณ์จากปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญา ผู้ที่ประสบผลสำเร็จจากการที่ไม่ใช้วิธีการเผาฟาง ตอซังและการเผาอ้อย มาให้กับเกษตรกร เพื่อจะได้ปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี(กรมพัฒนาที่ดิน,2548. http://www.ldd.go.th/manual_stump/stump.pdf) อย่างไรก็ตามเกษตรกรมองเพียงประโยชน์ในระยะสั้นที่เห็นประโยชน์การเผา คือ ทำให้การไถทำเทือกง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น และ เป็นการกำจัดโรค และแมลงบางส่วนที่ตกค้างอยู่ในนา หากเป็นอ้อยก็มองเพียงง่ายต่อการตัดเก็บเกี่ยว แต่ผลเสียมีมหันต์ คือ ทำให้เกิดหมอกควันปกคลุมการจราจร และเถ้าเขม่า มีผลเสียต่อสุขภาพ เกิดภาวะโลกร้อน เกิดการสูญเสียปุ๋ย ที่ควรจะได้จากการย่อยสลายของฟางข้าว และตอซัง ซึ่งจะทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี ที่จะใช้ในฤดูกาลต่อๆ ไปรวมทั้งเกิดการเสื่อมสภาพของดิน ทำลายโครงสร้างของดิน ทำให้โครงสร้างดินเปลี่ยนแปลงไป เนื้อดินจับตัวแน่น สูญเสียอินทรียวัตถุในดิน ทำลายจุลินทรีย์ สัตว์ และแมลงที่เป็นประโยชน์ สอดคล้องกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (http://it.doa.go.th/pibai/pibai/n17/v_8-sep/korkui.html.) พบว่า การเผาตอซังข้าวสร้างปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองในประเทศไทยรุนแรงมากขึ้นนอกจากส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนแล้ว ยังมีผลต่อคุณสมบัติดินและเศรษฐกิจของประเทศ คือ เป็นการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพื้นดินสู่บรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนทำให้ดินแน่นทึบ อัตราการซึมของน้ำช้าลง การไหลทางแนวราบสูงขึ้น ทำให้ต้องใช้น้ำมากกว่าปกติในการปลูกพืชทำให้ปริมาณไนโตรเจนบนผิวดินลดลง ส่วน pH ของผิวดินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อน้ำท่วมคราวต่อไปจะมีการปรับ pH ให้เข้าสภาพเดิมอีก ปริมาณจุลินทรีย์หลายชนิดลดลงหลังการเผาตอซัง ทำให้สูญเสียธาตุอาหารที่ควรจะหมุนเวียนลงในดิน ในพื้นที่ปลูกข้าว 78 ล้านไร่ มีปริมาณตอซังฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยวประมาณ 47 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าของธาตุอาหารหลักคือไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 44,886 ล้านบาท และปริมาณธาตุอาหารที่สูญเสียไปกับการเผา 11,468 ล้านบาทต่อปี นอกจากผลกระทบดังกล่าวข้างต้น ยังส่งผลต่อ อาคารบ้านเรือน เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ประชาชน บดบังทัศนวิสัย และเป็น อุปสรรคในการคมนาคมและขนส่ง การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศป่าไม้ รวมทั้ง ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เป็นระบบเศรษฐกิจที่สําคัญของไทยอีกด้วยในการแก้ปัญหาในบริเวณที่ราบสูงเกษตรกรส่วนใหญ่ทำไร่ข้าวโพด ถ้าสามารถนำหญ้าแฝกมาใช้ร่วมกับการไถกลบตอซังและใช้จุลินทรีย์ช่วยในการย่อยสลาย เกษตรกรที่ปลูกข้าวถ้าใช้วิธีไถกลบตอซัง ร่วมกับใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลาย ในส่วนเกษตรกรที่ปลูกอ้อยหันมาตัดอ้อยสดแทนการเผาก่อนตัดอ้อย อ้อยโรงงานถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง ปี2556 ประเทศไทยมีการบริโภคน้ำตาล 2.50 ล้านตัน ส่งออก 7.52 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 100,000 ล้านบาท การเพาะปลูกอ้อยโรงงานปี 2551/52 -2555-56 มีจำนวนอ้อยเข้าสู่โรงงาน 40.27 ล้านตัน มีพ้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.10 และ ร้อยละ 12.37 ตามลำดับ(สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร,2557) ซึ่งจะเห็นว่าเกษตรกรมีการหันมาปลูกอ้อยเพิ่มมากขึ้นแทนการปลูกข้าว ทั้งนี้เพราะภาครัฐมีการส่งเสริม ราคาจูงใจถ้าเกษตรกรทั้ง 3 กลุ่มหันมาใช้ วิธีการดังกล่าวก็จะทำให้ลดปัญหาหมอกควันไปได้มาก ในจังหวัดนตรสวรรค์มีปราชญ์ชาวบ้านประสบผลสำเร็จในการปลูกข้าวโพด ข้าว และอ้อยโดยไม่เผาตอซัง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์จึงได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึ่งต้องการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม มาใช้จะทำให้แก้ปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาเศษวัสดุที่เหลือจากการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อศึกษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและถอดบทเรียนการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม 2. เพื่อพัฒนาสื่อในการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการพัฒนา 3. เพื่อนำองค์ความรู้ภูมิปัญญาการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้ไปสร้างเครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียง
ขอบเขตของโครงการ :
ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เชิงพรรณนา (Descriptive Research) เชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวม และเชิงคุณภาพโดยใช้กระบวนศึกษาแบบมีส่วนร่วม (PAR) เก็บข้อมูลโดยการสำรวจ สัมภาษณ์ สังเกต และสังเกตแบบมีส่วนร่วม า และถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น จัดทำสื่อเพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึง พร้อมทั้งขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่มีบริบทใกล้เคียง ซึ่งแบ่งขอบเขตได้ดังต่อไปนี้ 1. ขอบเขตเนื้อหา การศึกษาครั้งนี้ขอบเขตเนื้อหา ได้แก่ การพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดนครสวรรค์โดยใช้องค์ความรู้ภูมิปัญญาจากปราชญ์ชาวบ้านที่ได้จากการถอดองค์ความรู้สู่การถ่ายทอดและขยายเครือข่าย 2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่างและสถานที่ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว ข้าวโพด และอ้อย ที่ปลูกในจังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ เกษตรกร เจ้าหน้าที่สถานประกอบการโรงงาน เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัด/อำเภอ อาจารย์ และนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่เกษตรกร และเจ้าหน้าที่สถานประกอบการโรงงานผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว ข้าวโพด และอ้อย เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัด/อำเภอ อาจารย์ และนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ 3. ขอบเขตตัวแปร ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ สภาพการดำเนินการระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดนครสวรรค์ การพัฒนาระบบเกษตรผสมผสานโดยใช้หญ้าแฝกสามารถแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
1. ได้บทเรียนองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศในเขตพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ 2. ได้สื่อในการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมและเกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ง่ายและคลอบคลุม 3. ได้กลุ่มเครือข่ายการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมและขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         ขั้นตอนดำเนินการวิจัย 1. ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) ของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อเก็บข้อมูล โดยใช้เทคนิค AIC และหรือ PRA สำรวจ สัมภาษณ์เจาะลึก 2. แหล่งข้อมูล 2.1 แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เป็นการศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ สิ่งพิมพ์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลเพื่อให้ได้แนวคิดทฤษฎีที่สามารถนำไปใช้ในการวางแนวทางในการศึกษาพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและการอภิปรายอ้างอิง 2.2 ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่ศึกษาได้จากการเก็บข้อมูลโดยตรงจากประชากรที่ ศึกษา และเป็นการศึกษารายละเอียดต่อเนื่องจากข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมูลด้านการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม 3. กลุ่มประชากร ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ปราชญ์ชาวบ้าน และเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด ข้าว และอ้อยที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ 4. การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ดำเนินการศึกษาไว้ 4 กิจกรรมดังต่อไปนี้ 4.1 กิจกรรมที่ 1การพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานโดยใช้หญ้าแฝกเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่ดอน 1. ศึกษาและถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานโดยใช้หญ้าแฝกเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่ดอน อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ 2. จัดทำสื่อ เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึงสำหรับการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานโดยใช้หญ้าแฝกเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่ดอน 3. นำผลที่ได้จาก ข้อ 1 และข้อ 2 มาขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน จำนวน 1 พื้นที่ 4.2 กิจกรรมที่ 2 การพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซัง 1. และถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซังในพื้นที่ลุ่ม อำเภอเก้าเลียว จังหวัดนครสวรรค์ 2. จัดทำสื่อ เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึงสำหรับการพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซัง 3. นำผลที่ได้จาก ข้อ 1 และข้อ 2 มาขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน จำนวน 1 พื้นที่ 4.3 กิจกรรมที่ 3 การพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซัง 1. และถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซัง อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ 2. จัดทำสื่อ เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึงสำหรับการพัฒนาเกษตรผสมผสานโดยใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ในการลดปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาตอซัง 3. นำผลที่ได้จาก ข้อ 1 และข้อ 2 มาขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน จำนวน 1 พื้นที่ 4.4 กิจกรรมที่ 4 การบริหารจัดการอ้อยเพื่อการแก้ปัญหามลพิษจากการเผาอ้อยก่อนตัด 1. และถอดองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น การบริหารจัดการอ้อยเพื่อการแก้ปัญหามลพิษจากการเผาอ้อยก่อนตัด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ 2. จัดทำสื่อ เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงได้ง่ายและทั่วถึงสำหรับการบริหารจัดการอ้อยเพื่อการแก้ปัญหามลพิษจากการเผาอ้อยก่อนตัด อำเภอบรรพต จังหวัดนครสวรรค์ 3. นำผลที่ได้จาก ข้อ 1 และข้อ 2 มาขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน จำนวน 1 พื้นที่ 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผล 5.1 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม 5.2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ การสังเกต โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และจัดระบบข้อมูลและสังเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัย สถานที่ดำเนินการ พื้นปลูก ข้าว ข้าวโพด และอ้อย ในจังหวัดนครสวรรค์
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
การศึกษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและถอดบทเรียนการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรม ดำเนินการพัฒนาสื่อในการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการพัฒนา และนำองค์ความรู้ภูมิปัญญาการพัฒนาระบบการเกษตรผสมผสานเพื่อการแก้ปัญหามลพิษหมอกควันจากการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้ไปสร้างเครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียง
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นางสุพัฒนา หอมบุปผา นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 25%
2 นายสาธร ทรัพย์รวงทอง นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 25%
3 นายวราภรณ์ ทรัพย์รวงทอง นักวิจัยภายนอกมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 25%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย