รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวโดยใช้องค์ความรู้ใหม่ในการจัดการศัตรูข้าวเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตข้าวในนาชลประทาน
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
The effective improvement of rice production by using new knowledge on pest management to reduce cost and increase yield in irrigated land
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
1 ธันวาคม 2559
วันสิ้นสุดโครงการ :
1 ธันวาคม 2560
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         ข้าว (rice) เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ในแต่ละปีประเทศไทยผลิตและส่งออกข้าวเป็นมูลค่ามาก ในปีพ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา มีการส่งออกข้าวสูงถึง 10.97 ล้านตัน และมีมูลค่าการส่งออกรวม 174,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับปีพ.ศ. 2556 เนื่องจากราคาส่งออกข้าวของไทยใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวบางส่วนปรับเปลี่ยนกลับมานำเข้าข้าวจากไทยทำให้การส่งออกข้าวไทยกลับมาเป็นอันดับที่ 1 เช่นเดิม สำหรับการค้าข้าวในปีพ.ศ. 2558 นี้ คาดว่าประเทศไทยจะส่งออกข้าวใกล้เคียงกับปีพ.ศ. 2557 เนื่องจากการเร่งบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล และราคาข้าวที่ประกาศโดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ณ วันที่ 28 มกราคม 2558 ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ ราคาอยู่ที่ 422 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยในขณะนี้ราคาข้าวของไทยได้กลับขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าคู่แข่งทุกประเทศ (สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย, 2558) แม้ว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นแต่ต้นทุนการผลิตข้าวไทยก็เพิ่มสูงขึ้น อาทิเช่นปุ๋ยเคมีราคาเพิ่มขึ้นจากถุง (50 กก.) ละ 584 เป็น 690-1,045 บาทใน ปี 2557 รวมทั้งค่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้การผลิตข้าวนาปรังของประเทศไทยในปีพ.ศ. 2557 มีสภาวะแห้งแล้งทำให้ปลูกข้าวได้เพียงฤดูเดียว (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2557) สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัญหาสภาวะโลกร้อน (global warming) ที่จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการผสมเกสรของพืชโดยตรง และสภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชที่รุนแรงขึ้นและบ่อยครั้งมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้โรคและแมลงหลายชนิดมีวงจรชีวิตสั้นลง สามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้อย่างมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้วัชพืชเจริญเติบโตได้ดีกว่าพืชทั่วไปและประสิทธิภาพยาฆ่าหญ้าลดลง (คมชัดลึก, 2558) นอกจากนี้ความแปรปรวนของสภาพอากาศทำให้เกิดลมพัดแรงส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของวัชพืช เชื้อโรค และแมลงศัตรูได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งการให้ปุ๋ยเคมีอย่างไม่ถูกต้องส่งผลกระทบต่อการเพิ่มจำนวนของโรคและแมลงศัตรูอย่างรวดเร็ว โดยพบว่าการเจริญเติบโตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสัมพันธ์กับการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง (สุจินต์, 2554) ทำให้เกษตรกรหลายกลุ่มต้องหาวิธีการลดต้นทุนการผลิตและปรับตัวในการผลิตข้าวภายใต้สภาวะอากาศที่แปรปรวน และจากการพูดคุยกับเกษตรกรในหลายพื้นที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และอ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ พบว่าองค์ความรู้ของเกษตรกรที่สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ได้แก่ การหมักย่อยสลายตอซังฟางข้าวด้วยจุลินทรีย์ การใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ การใช้น้ำหมักชีวภาพจำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช นอกจากนี้ คุณสนุ่น สมีเพชร เกษตรกรจากอ.เกล้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ ลดต้นต้นทุนด้วยการใช้ตอซังและฟางข้าวปรับปรุงดินและเพิ่มธาตุอาหารในแปลงนา โดยการไถกลบตอซังและฟางข้าวทันทีหลังการเก็บเกี่ยว และใช้วิธีการจัดการน้ำเพื่อป้องกันศัตรูพืช (สยามคูโบต้า, 2555) การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวแนวคิดที่ถอดบทเรียนของการทำนาในช่วงวิกฤติของการขาดน้ำ ซึ่งวิธีการปลูกข้าวแบบนี้นอกจากจะเป็นการใช้น้ำอย่างประหยัดแล้วยังช่วยให้การกำจัดโรคและแมลงศัตรูข้าวได้ผลเป็นอย่างดี ดังเช่นความสำเร็จของกลุ่มผู้ผลิตข้าวบ้านท่าไม้ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ กลุ่มสามัคคีเมล็ดพันธุ์ ต.ยางขาว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และศูนย์ข้าวชุมชน ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เป็นต้น (สุภชัย, 2555) องค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านข้าว เหล่นนี้ควรนำไปทดลองปฏิบัติในแปลงนาของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้เกิดการแพร่กระจายเป็นเครือข่ายสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยมีเกษตรกรเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และเพื่อการปรับตัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น (FAC CAADP Policy Brief, 2011) ในกระแสโลกาวิวัฒน์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อศึกษาคัดเลือกแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับจากเกษตรกรและนักวิชาการในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตข้าว 2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการผลิตของวิธีการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการที่เกษตรกรยอมรับเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตข้าว 3. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนกำไรในการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการและการใช้สารเคมีสังเคราะห์ 4. เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง 5. เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนใกล้เคียงและเผยแพร่ผลงานในวารสารวิชาการ
ขอบเขตของโครงการ :
งานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาตั้งแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการผลิตข้าวที่ได้รับการยอมรับตามวิถีปฏิบัติของเกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์ และการศึกษาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ก่อนนำข้อมูลที่ได้รับมาวางแผนการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลิตข้าวจากการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการตามวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม และการจัดการศัตรูข้าวโดยใช้สารเคมีสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว ทำการทดลองในแปลงนาเกษตรกรรายย่อยในเขตภาคเหนือตอนล่าง เก็บข้อมูลโดยละเดียดทั้งด้านการงอกของเมล็ดข้าว ด้านการเจริญเติบโต ด้านการทำลายจากโรคและแมลงศัตรู ด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิต จากนั้นทำการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนกำไร และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนใกล้เคียง
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
11.1 ด้านวิชาการ - ได้แนวทางปฏิบัติในการจัดการศัตรูข้าวจากองค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากเกษตรกรและนักวิชาการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตข้าว - ได้ต้นแบบการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการที่เกษตรกรยอมรับว่าสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตข้าว 11.2 ด้านนโยบาย - ลดการนำเข้าปุ๋ยวิทยาศาสตร์และสารเคมีกำจัดศัตรูข้าวเพื่อลดการขาดดุลทางการค้า - ลดมลภาวะทางอากาศและสภาวะโลกร้อนจากการเผ่าทำลายเศษพืชและการใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดศัตรูข้าว 11.3 ด้านเศรษฐกิจ - พัฒนาศักยภาพในการแข่งขันโดยการพึ่งพาปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด - ลดต้นทุนการผลิตภาคเกษตรจากการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์และสารเคมีกำจัดศัตรูข้าว - ลดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูคุณภาพของดินและน้ำที่ใช้ในภาคการเกษตร - ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคจากการได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น การเป็นอัมพฤต อัมพาต และมะเร็ง เป็นต้น 11.4 ด้านสังคมและชุมชน - ลดปัญหาด้านสุขภาพทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค - เกษตรกรรายย่อยสามารถพึงพาตนเองได้ในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวโดยการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง - เกิดความเข้มแข้งและความยั่งยืนในการประกอบอาชีพของชุมชนท้องถิ่น 11.5 ด้านการเผยแพร่ - ถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการศัตรูข้าวแบบบูรณาการสู่ชุมชน - ตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการระดับชาติหรือระดับนานาชาติอย่างน้อย 1 เรื่อง
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         13.1 การปลูกข้าวและการจัดการศัตรูพืชของเกษตรกรในพื้น เก็บรวบรวมวิธีการปลูกและการจัดการศัตรูข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ จ. นครสวรรค์ และ จ. สิงห์บุรี โดยลงพื้นที่เพื่อทำการสอบถามข้อมูล (แบบสอบถาม) องค์ความรู้ท้องถิ่นที่มีอยู่ ดั้งเดิมและรับเข้ามาใหม่ รวมทั้งต้นทุนกำไร ปัญหาและอุปสรรค์ ตลอดจนข้อมูลในครัวเรือนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตข้าว ก่อนน้ำข้อมูลดังกล่าวมาทำการวิเคราะห์ผลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ในการวางแผนการทดลองการผลิตข้าวแบบบูรณาการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 13.2 สภาพดิน สภาพอากาศ และปริมาณศัตรูพืชในพื้นที่ 13.2.1 สภาพดิน : เก็บตัวอย่างดินไปทำการตรวจวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหาร เช่น ไนโตเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซี่ยม (Ca) กำมะถัน (S) อินทรียวัตถุ (OM) และความเป็นกรดเป็นด่างของดินก่อนทำการทดลองเพื่อใช้ในการวางแผนการให้ปุ๋ยแก่ข้าวได้อย่างถูกต้อง และหลังจากทำการทดลองเสร็จสิ้นทำการตรวจวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารอีกครั้งเพื่อใช้เป็นข้อเปรียบเทียบในการใช้กรรมวิธีแบบบูรณาการต่าง ๆ ที่ส่งผลถึงคุณภาพของดินปลูกภายหลังการทำการทดลอง 13.2.2 สภาพอากาศ : ศึกษาข้อมูลสภาพอากาศในพื้นที่ในปีที่ผ่านมาจากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาและสอบถามจากชุมชนในพื้นที่นำข้อมูลมาวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นในด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตข้าว และการแพร่ระบาดของศัตรูข้าว เพื่อใช้ในการวางแผนการปลูกข้าวได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ทำการเก็บข้อมูลสภาพอากาศในระหว่างทำการทดลองโดยใช้เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ปลูกทุกๆ สัปดาห์ 13.2.3 ปริมาณศัตรูพืช : ทำการสุ่มตรวจนับประชากรของศัตรูข้าวทุก 14 วัน ดังนี้ 1) สุ่มสำรวจตรวจนับประชากรของแมลงศัตรูข้าวได้แก่ เพลี้ยไฟ หนอนกระทู้กล้า เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่นสีเขียว แมลงบั่ว หนอนกอ หนอนม้วนใบ แมลงสิง และหนอนกระทู้คอรวง และศัตรูธรรมชาติ ได้แก่ แตนเบียน แมลงปอ มวนเขียวดูดไข่ ด้วงกันกระดก แมลงมุม ฯลฯ โดยสุ่ม หลังหว่านข้าวแล้ว 25 วัน จนถึงระยะข้าวออกรวง มีวิธีการ 2 วิธี คือโดยปักไม้แต่ละจุด แต่ละจุดห่างกันประมาณ 10 ก้าว ในแนวทแยงมุมของแปลง บันทึกจำนวนแมลงต่อกอข้าว และสุ่มนับโดยใช้สวิงโฉบตามแนวเส้นทางเดินแบบทแยงมุมของแปลงนา แปลงละ 20 จุดๆ 1 โฉบ หมายถึง ใช้สวิงโฉบไปและกลับ แต่ละจุดห่างกัน 10 ก้าว แต่ละแปลงใช้ จำนวน 2 ซ้ำ 2) สุ่มสำรวจโรคข้าวที่สำคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคถอดฝักดาบ โรคใบจุดสีน้ำตาล โรคดอกกระถิน โรคกาบใบแห้ง โรคขอบใบแห้ง โรคเน่าคอรวง โรคเมล็ดด่าง สุ่มสำรวจในแปลงนาทุก 7 วัน จนถึงระยะข้าวออกรวง โดยสุ่มตามแนวเส้นทางเดิน 2 ด้าน และกลางแปลงนา แต่ละด้าน 20 จุด โดยปักไม้แต่ละจุด (1 จุด ขนาดพื้นที่ 25 x 25 ซม.) แต่ละจุดห่างกันประมาณ 10 ก้าว บันทึกการทำลายของโรคข้าว โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์พื้นที่ต้นที่ถูกทำลาย (% incidence) และหาเปอร์เซ็นต์ความรุนแรงของโรคต่อพื้นที่ปลูกที่ถูกทำลาย (% severity) 3) สุ่มสำรวจสัตว์ศัตรูข้าวที่สำคัญ ได้แก่ หอยเชอรี่ และหนูนา ทำการป้องกันหอยเชอรี่โดยใช้เฝือกหรือตาข่ายถี่กั้นทางน้ำเข้าออกแปลงนา เก็บตัวหอยและกลุ่มไข่นาไปทำลายทุกสัปดาห์ หลังปล่อยน้ำเข้าแปลงนา หากพบปริมาณมากใช้กากชาหว่านหรือสารเคมีสังเคราะห์กำจัดตามคำแนะนำ สำหรับหนูทำการกำจัดวัชพืชบริเวณแปลงปลูก และพื้นที่ใกล้เคียง ใช้กับดัก และขุดรูหนู เพื่อทำลาย หากมีจำนวนประชากรหนูหนาแน่น ใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดตามคำแนะนำ หรือใช้กับดักร่วมกับเหยื่อพิษ บันทึกเปอร์เซ็นต์การทำลายของสัตว์ศัตรูข้าว 4) สุ่มสำรวจชนิดและความหนาแน่นของวัชพืชที่สำคัญ ได้แก่ หญ้าข้าวนก ขาเขียด หญ้านกสีชมพู กกขนาก หญ้าแดง กกทราย หญ้าดอกขาว หนวดปลาดุก ผักปอดนา ผักแว่น และข้าววัชพืช ที่ระยะข้าวแตกกอและระยะสร้างช่อดอก จำนวน 10 จุด จำนวน 2 ซ้ำ ชั่งน้ำหนักสด (สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว, 2552) 13.3 วางแผนการทดลองและเตรียมพื้นที่ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 การทดลอง การทดลองที่ 1 เป็นการศึกษาผลของวิธีการเตรียมแปลงปลูกและการควบคุมวัชพืช ต่อความหน้าแน่นของวัชพืชแต่ละชนิดและการเจริญเติบโตของข้าวในระยะกล้า การทดลองที่ 2 เป็นการศึกษาผลของวิธีการใส่ปุ๋ยและการควบคุมระดับน้ำต่อความหน้าแน่นของวัชพืชแต่ละชนิดและการเจริญเติบโตของข้าวในระยะแตกกอ และการทดลองที่ 3 เป็นการศึกษาผลของวิธีการควบคุมแมลงศัตรูและโรคข้าวต่อจำนวนประชากรแมลงศัตรูแต่ละชนิด การเกิดโรคแต่ละชนิด และการเจริญเติบโตของข้าว ทุกกรรมวิธีทำการสำรวจและกำจัดสัตว์ศัตรูข้าวดังในข้อ 13.2.3 สำหรับการเตรียมพื้นที่ในแต่ละการทดลองโดยใช้รถไถทำคันดินขนาดกว้างและสูงเป็น 50 และ 30 เซนติเมตร ตามลำดับ กั้นรอบแปลง ขุดดินที่ฐานคันดิน แล้วปูพลาสติกคลุมคันดิน ฝังชายพลาสติกลึกในดิน 30 เซนติเมตร กลบดินทับ เพื่อป้องกันการซึมน้ำเข้าหรือสูญเสียน้ำไปยังแปลงทดลองข้างเคียง โดยแบ่งเป็นแปลงย่อย ขนาด 400 ตารางเมตร จำนวน 12 แปลง ทำการปลูกข้าว กข49 โดยวิธีการปักดำ ระยะ 25 ? 25 เซนติเมตร 13.3.1 การทดลองที่ 1 ผลของวิธีการเตรียมแปลงปลูกและการควบคุมวัชพืช วางแผนการทดลองแบบ 2 x 2 Factorial in RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 (A) เป็นการเตรียมแปลงปลูก 2 วิธีการ คือ 1) ไถกลบตอซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยวแล้วใช้โรตารี่ตีฟางทันที และ 2) การหมักย่อยสลายตอซังข้าวด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์ อัตรา 5 ลิตรต่อไร่ แล้วใช้โรตารี่ตีฟาง ปัจจัยที่ 2 (B) เป็นการควบคุมวัชพืช 2 วิธีการ คือ 1) หว่านแหนแดงหลังปักดำ อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ และ 2) หว่านยาคุมฆ่าหญ้าดาราท๊อก (2,4-ดี ไอโซบิวทิลเอสเตอร์+บิวทาคลอร์) อัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ สุ่มสำรวจชนิดและความหนาแน่นของวัชพืชที่สำคัญ ทุกๆ 14 วัน ดังในข้อ 13.2.3 และทำการสุ่มตรวจวัดความสูงของต้นข้าว ดังในข้อ 13.5.6 และหากพบว่ามีวัชพืชหลงเหลือจะใช้วิธีการตัดต้นหญ้าทำลายตามร่องนาดำ 1.3.3.2 การทดลองที่ 2 ผลของวิธีการใส่ปุ๋ยและการควบคุมระดับน้ำ วางแผนการทดลองแบบ 2 x 2 Factorial in RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 (A) เป็นการใส่ปุ๋ย 2 วิธีการ คือ 1) ใส่ปุ๋ยมูลวัวอัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ หลังทำการปักดำ ร่วมกับใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ หลังข้าวแตกกอ และ 2) ใส่ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ หลังทำการปักดำ ร่วมกับการใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ หลังข้าวแตกกอ ปัจจัยที่ 2 (B) เป็นการควบคุมระดับน้ำ 2 วิธีการ คือ 1) ควบคุมระดับน้ำแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว และ2) ควบคุมระดับน้ำประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตลอดระยะการปลูก ทุกกรรมวิธีใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-21 อัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ ในระยะกำเนิดช่อดอก สุ่มสำรวจชนิดและความหนาแน่นของวัชพืช ทุกๆ 14 วัน ดังในข้อ 13.2.3 ทำการสุ่มตรวจวัดความสูงและ จำนวนต้นต่อกอ หาเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดดี และหาน้ำหนักเฉลี่ยผลผลิตต่อรวงและต่อพื้นที่ ดังในข้อ 13.5.6 1.3.3.3 การทดลองที่ 3 ผลของวิธีการควบคุมแมลงศัตรูและโรคข้าว วางแผนการทดลองแบบ 2x2 Factorial in RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 (A) เป็นการควบคุมแมลงศัตรู ด้วย 2 วิธีการ 1) ควบคุมแมลงศัตรูโดยวิธีทางชีวภาพ 2) ควบคุมแมลงศัตรูโดยใช้สารเคมี ปัจจัยที่ 2 (B) เป็นการควบคุม 2 วิธีการ 1) ควบคุมโรคข้าวโดยวิธีทางชีวภาพ 2) ควบคุมโรคข้าวโดยสารเคมีสังเคราะห์ การใช้วิธีทางชีวภาพตามแมลงศัตรูและโรคข้าวที่ตรวจพบในระดับเศรษฐกิจที่กรมวิชาการกำหนด ซึ่งหากพบเพลี้ยจะใช้ราขาว Beauveria bassiana หากพบหนอนแมลงจะใช้แบคทีเรีย Bacillus thuringiensis หากพบมวนและด้วงจะใช้ Metarhizium anisopliae หากพบโรคถอดฝักดาบ โรคเมล็ดด่าง โรคกาบใบแห้ง จะใช้ Trichoderma harzianum ร่วมกับน้ำหมักสมุนไพร หากพบโรคไหม้ โรคใบจุดสีน้ำตาล โรคเน่าคอรวง โรคขอบใบแห้งจะใช้ Bacillus subtillis ร่วมกับน้ำหมักสมุนไพร การใช้สารเคมีตามแมลงศัตรูและโรคข้าวที่ตรวจพบในระดับเศรษฐกิจที่กรมวิชาการกำหนด ซึ่งหากพบเพลี้ยไฟจะใช้อะบาเม็กติน หากพบเพลี้ยกระโดดจะใช้อีโทเฟนพรอกซ์ หากพบเพลี้ยจักจั่นจะใช้คาร์โบซัลแฟน หากพบหนอนกอ หนอนม้วนใบ แมลงสิง บั่ว จะใช้คลอร์ไพริฟอส หากพบโรคถอดฝักดาบ โรคใบจุดสีน้ำตาล จะใช้คาร์เบนดาซิม หากพบโรคไหม้ โรคเน่าคอรวง จะใช้ไตรไซคลาโซล หากพบโรคกาบใบแห้ง โรคเมล็ดด่าง จะใช้ไดฟีโนโคลนาโซล+โพรพิโคนาโซล (อามูเร่) และหากพบโรคขอบใบจะใช้เสตร็พโตมัยซินซัลเฟต+ออกซีเตทตราไซคลินไฮโดรคลอร์ไรด์ (แคงเกอร์เอ็กซ์) ทำการสุ่มสำรวจตรวจนับจำนวนแมลงและโรคข้าวแต่ละชนิด ทุกๆ 14 วัน ดังในข้อ 13.2.3 หาเปอร์เซ็นต์ของเมล็ดที่เป็นโรค ดังในข้อ 13.5.6 13.4 เตรียมจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ น้ำหมักสมุนไพร และน้ำหมักย่อยสลาย 13.4.1 เตรียมจุลินทรีย์ : เชื้อปฏิปักษ์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูข้าว ได้แก่ Metarhizium anisopliae Beauveria bassiana และ Bacillus thuringiensis ส่วนเชื้อปฏิปักษ์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคข้าว ได้แก่ Trichoderma harzianum และ Bacillus subtillis (ได้รับความอณุเคราะห์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) และจุลินทรีย์ย่อยสลาย Trichoderma sp. เป็นจุลินทรีย์สายพันธุ์ท้องถิ่นที่แยกได้ในจังหวัดนครสวรรค์ ทำการผลิตในรูปแบบผงเชื้อ (powder) โดยเลี้ยงจุลินทรีย์ในอาหารเหลว (Potato Dextrose Broth; PDB และ Nutrient Glucose Broth; NGB) เป็นเวลา 5-10 วัน ที่อุณหภูมิห้อง ปั่นเชื้อด้วยเครื่องปั่น (blender) ปรับความเข้มข้นของเชื้อเท่ากับ 1.0 x 108 สปอร์หรือเซลล์ต่อมิลลิลิตร นำสารแขวนลอยเชื้อปริมาณ 15 มิลลิลิตร หยดลงในขวดแก้วที่บรรจุสารพาผงทัลคั่ม (Talc powder) จำนวน 30 กรัม และสารเหนียว (Carboxyl methyl cellulose; C
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
-
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นายปัณณวิชญ์ เย็นจิตต์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 60%
2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิดา เดชฮวบ นักวิจัยภายนอกมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%
3 รองศาสตราจารย์วาริน อินทนา นักวิจัยภายนอกมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย