รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การบำบัดน้ำเสียด้วยปฏิกิริยาการเร่งด้วยแสงโดยใช้ฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสม
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
Wastewater treatment with photocatalytic reaction by titanium dioxide composite films
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
1 ตุลาคม 2559
วันสิ้นสุดโครงการ :
30 กันยายน 2560
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         ปัญหาน้ำทิ้งจากภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร รวมทั้งน้ำทิ้งจากบ้านเรือน เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทางน้ำที่สำคัญปัญหาหนึ่งในประเทศไทยปัจจุบัน ผลกระทบที่สำคัญคือน้ำทิ้งที่ปนเปื้อนสารประกอบอินทรีย์ต่างๆ หากปล่อยน้ำเสียเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง โดยไม่ผ่านกระบวนการบำบัดจะทำให้สารแขวนลอยต่างๆ สารประกอบอินทรีย์ รวมทั้งเกลือแร่อนินทรีย์ยังคงตกค้างอยู่ในแหล่งน้ำและจะก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำเป็นพิษ หรือคุณภาพน้ำไม่ได้มาตรฐานซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา เช่น ไม่สามารถใช้ในการอุปโภค บริโภค หรือทำให้สิ่งมีชีวิตหรือแม้แต่พืชน้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมในที่สุด ดังนั้นปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำที่มีคุณภาพได้กลายปัญหาวิกฤติทางด้านสิ่งแวดล้อมปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไขโดยรีบด่วนเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จังหวัดนครสวรรค์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีระบบนิเวศแหล่งน้ำที่สำคัญหลายแห่งทั้งบึง บอระเพ็ดและเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะไหลลงไปหล่อเลี้ยงบริเวณที่ราบภาคกลาง และยังเป็นจังหวัดที่รับน้ำจากแม่น้ำสายสำคัญๆในภาคเหนือหลายสาย บริเวณจังหวัดนครสวรรค์เป็นบริเวณที่ใช้พื้นที่เพื่อการเกษตรมากและยังเป็นแหล่งที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากการเกษตร ซึ่งน้ำทิ้งจากแต่ละภาคส่วนเหล่านี้รวมทั้งที่สะสมมาจากพื้นที่ภาคเหนือจะทำให้ประชาชนในบริเวณนี้ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำที่มีคุณภาพ และถ้าไม่มีการแก้ไขน้ำทิ้งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงบริเวณที่ราบภาคกลางด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการนำน้ำเสียจากภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรไปบำบัดเพื่อให้กลับคืนสู่สภาพที่นำมาใช้งานได้อีกครั้งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบศึกษาวิจัยและนำไปใช้โดยรีบด่วน ทั้งนี้ในปัจจุบันกระบวนการบำบัดน้ำเสียมีหลากหลายวิธีทั้งที่ใช้กระบวนการทางเคมี เช่น วิธีออสโมซิสผันกลับ (H. Song et al., 2009; E. T. Gjessing et al., 1998) วิธีแลกเปลี่ยนไอออน (V.A. Shaposhnik et al., 2004; G. V. Slavinskaya 2003) การดูดซับกลิ่นและสีด้วยถ่านกัมมันต์ (Z. Yue et al., 2005) และวิธีการทางชีวภาพ เช่น การใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารพิษ ในกระบวนการทั้งหมดนี้ การใช้ปฏิกิริยาการเร่งด้วยแสง โดยใช้อนุภาคระดับนาโนร่วมกับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจาก เกิดปฏิกิริยาได้รวดเร็วกว่าปฏิกิริยาการย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ และไม่ต้องเสียเวลาในการคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์เฉพาะชนิดรวมทั้งการควบคุมสภาพแวดล้อมเพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานได้ดี ทั้งนี้การบำบัดน้ำเสียโดยใช้อนุภาคในระดับนาโนเมตรคืออนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ร่วมกับการกระตุ้นด้วยแสงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความเป็นไปได้เพราะปฏิกิริยาการเร่งด้วยแสงสามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ที่มีอันตรายไปได้พร้อมๆกันและใช้เวลาในการย่อยสลายน้อยกว่าการย่อยสลายทางชีวภาพด้วยจุลินทรีย์ (D. Beydoun et al., 1999) อนุภาคนาโนที่นำมาใช้ในการบำบัดน้ำเสียได้นั้นมีทั้งซิลเวอร์ ไทเทเนียมไดออกไซด์ และซิงค์ออกไซด์ (Li et al., 2008) โดยมีการใช้ทั้งอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ชนิดเดียวและแบบผสมกับโลหะอื่นๆ (Li et al., 2010; Liu et al., 2009) มีงานวิจัยที่ศึกษาผลของการเจือไทเทเนียมไดออกไซด์ด้วยเหล็กพบว่าจะทำให้สเปกตรัมการดูดกลืนแสงของไทเทเนียมไดออกไซด์เลื่อนไปทางความยาวคลื่นที่เพิ่มขึ้น (red shift) ทำให้ไทเทเนียมไดออกไซด์สามารถดูดกลืนแสงในช่วงวิสิเบิลได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง (Wang et al., 2009; Wetchakun, 2008a, Wetchakun et al., 2008b) นอกจากนี้ตัวเร่งปฏิกิริยานาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ที่ใช้ยังใช้ในรูปของฟิล์มทดแทนการใช้รูปของอนุภาค เพราะการใช้ในรูปของอนุภาคจะต้องทำการบำบัดอีกรอบก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม เพราะจะยังคงเหลืออนุภาคที่แขวนลอยในน้ำอยู่ ซึ่งต่างจากฟิล์มที่เมื่อบำบัดเรียบร้อยแล้ว สามารถเอาฟิล์มออกจากภาชนะโดยมีอนุภาคที่ตกค้างน้อยมาก เนื่องจากมีการยึดเกาะกันระหว่างฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์กับวัสดุที่ใช้เป็นตัวยึดเกาะฟิล์ม ดังนั้นการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาผสมดังกล่าวน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสามารถบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนสารประกอบอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ชลดา, 2555) ในการพัฒนากระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยเทคนิคการเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงนั้นมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ระยะเวลาที่ใช้แสงยูวีในการฆ่าเชื้อ ความเข้มข้นของอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์และโลหะเจือ และความเข้มข้นของน้ำเสียที่นำมาผ่านกระบวนการบำบัด ซึ่งจะมีผลต่อความสำเร็จของกระบวนการนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรคำนึงของการบำบัดน้ำเสียด้วยปฏิกิริยาการเร่งด้วยแสงคือ ความปลอดภัยและคุณภาพของน้ำนั้นหลังจากผ่านกระบวนการบำบัดแล้วว่ามีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศหรือการนำไปใช้ทางการเกษตรต่อไปหรือไม่ เพราะการนำอนุภาคในระดับนาโนเมตรมาใช้ในการบำบัดน้ำเสียเพื่อปล่อยกลับสู่สิ่งแวดล้อมหรือนำไปใช้ทางการเกษตรนั้น ความเป็นพิษระดับนาโน (nanotoxicology) และปัญหาความปลอดภัยของการประยุกต์ใช้อนุภาคนาโนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นยังเป็นที่กังวลสำหรับนักวิจัยบางกลุ่ม (Bystrzejewska-Piotrowska et al., 2009; Li et al., 2008) ดังนั้นเพื่อความมั่นใจของผู้ประกอบการและชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงและถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ศึกษาความเป็นพิษของน้ำเสียหลังการบำบัดเทียบกับก่อนบำบัดต่อพืชน้ำ พืชเศรษฐกิจ รวมทั้งศึกษาปริมาณโลหะไทเทเนียมที่ตกค้างในน้ำและในพืชด้วย ซึ่งหากน้ำที่ผ่านการบำบัดมานี้ไม่มีพิษต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะนำน้ำที่ได้จากการบำบัดนี้ปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมและนำไปใช้ทางการเกษตรได้
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์โดยใช้ฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง 2. เพื่อศึกษาความเป็นพิษของน้ำเสียจากการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่ผ่านการบำบัดด้วยฟิล์มนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมร่วมกับรังสีอัลตราไวโอเลตต่อพืชน้ำและพืชเศรษฐกิจเทียบกับก่อนบำบัด
ขอบเขตของโครงการ :
น้ำเสียที่นำมาทดสอบนี้มีทั้งน้ำเสียสังเคราะห์และน้ำเสียที่เก็บมาจากบริเวณจังหวัดนครสวรรค์และพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนหนึ่งนำเข้าสู่การบำบัดด้วยฟิล์มนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมร่วมกับรังสีอัลตราไวโอเลตในเครื่อง โฟโตรีแอกเตอร์ (Photoreactor) จากนั้นเก็บน้ำหลังการบำบัดนี้มาทดสอบความเป็นพิษเทียบกับน้ำก่อนการบำบัด พืชน้ำที่ใช้ในการทดสอบเป็นพืชน้ำที่พบในบริเวณบึงบอระเพ็ด ซึ่งเป็นระบบนิเวศแหล่ง น้ำที่สำคัญของจังหวัด โดยเลือกชนิดที่มีความสำคัญมา 2 ชนิด ได้แก่ บัว และสาหร่ายหางกระรอก พืชเศรษฐกิจที่ใช้ โดยเลือกพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกในจังหวัดนครสวรรค์และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ข้าว ข้าวโพด และถั่วเหลือง เพื่อน้ำมาทดสอบความเป็นพิษของน้ำต่อการเจริญของพืชระยะก่อนงอกจนถึงเป็นต้นกล้า ซึ่งเป็นระยะที่พืชค่อนข้างอ่อนแอ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
ผลที่ได้จากการศึกษาสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาระบบบำบัดน้ำทิ้งที่ปนเปื้อนสารประกอบอินทรีย์โดยใช้ฟิล์มนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณภาพของน้ำทิ้งก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เมื่องานวิจัยนี้สำเร็จจะได้ผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับชาติ (TCI) หรือนานาชาติ 1 เรื่อง และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ชุมชนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและผู้ประกอบการ
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         แผนดำเนินงานวิจัยประกอบด้วยขั้นตอน 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการกำจัดสารประกอบอินทรีย์โดยใช้ฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง มีขั้นตอนการดำเนินงานดังต่อไปนี้ 1. สังเคราะห์ ขึ้นรูปและวิเคราะห์ฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และฟิล์มผสม สังเคราะห์และขึ้นรูปฟิล์มนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ที่เจือด้วยเหล็กโดยวิธีซอล-เจล และเทคนิค Dip-coating (Wetchakul and Phanichphant., 2006) จากนั้นนำฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และฟิล์มผสมไปวิเคราะห์เฟส ปริมาณไทเทเนียม และพื้นที่ผิวจำเพาะต่อไป 2. วัดความเข้มแสงและความไวของรังสีต่อฟิล์ม 3. การทดสอบประสิทธิภาพในการบำบัดโดยวัดปริมาณออกซิเจนทั้งหมดที่ต้องใช้ในการทำปฏิกิริยาเคมี (Chemical oxygen demand; COD) และ ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์(Biological oxygen demand; BOD) ก่อนและหลังการทดลอง น้ำเสียสังเคราะห์ วางแผนการทดลองแบบแฟกทอเรียล 3x2 โดยมี 2 ตัวแปรคือความเข้มข้นของน้ำเสียสังเคราะห์ 3 ระดับ (เตรียมสารละลายซูโครสที่มีความเข้มข้นเป็น 2M, 1M และ 0.5 M) และประเภทของฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ 2 ระดับ คือ ไม่ผสมด้วย Fe และผสมด้วย Fe และนำน้ำเสียสัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์หรือภายใต้รังสียูวี (UVA) ในตู้โฟโตรีแอคเตอร์ โดยใช้น้ำเสียสังเคราะห์ที่ไม่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์แต่ได้รับรังสียูวีเป็นชุดควบคุม น้ำเสียจากบ้านเรือน วางแผนการทดลองเช่นเดียวกับน้ำเสียสังเคราะห์ โดยเก็บน้ำเสียจากอาคารต่างๆภายในมหาวิทยาลัย วิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำเสียก่อนบำบัด ใช้ความเข้มข้นของน้ำเสียเป็นร้อยละของน้ำเสียในน้ำกลั่นเป็น 100%, 50% และ 25% (%v/v) นำน้ำเสียมาทดสอบกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ภายใต้รังสียูวีในตู้โฟโตรีแอคเตอร์ ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น น้ำเสียจากการเกษตร วางแผนการทดลองเช่นเดียวกับน้ำเสียสังเคราะห์ โดยใช้สารละลายมูลสุกรในน้ำกลั่น 50%, 25% และ 12.5% (%w/v) นำน้ำเสียมาทดสอบกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ภายใต้รังสียูวีในตู้โฟโตรีแอคเตอร์ ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น และวิเคราะห์ปริมาณไนเตรตและไนไตรท์ในน้ำเสียหลังการบำบัด น้ำเสียจากโรงฆ่าสัตว์ วางแผนการทดลองเช่นเดียวกับน้ำเสียสังเคราะห์ โดยใช้หมูสับละลายในน้ำ 50%, 25% และ 12.5% (%w/v) แล้วกรองเอาหมูสับออก นำน้ำเสียมาทดสอบกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ภายใต้รังสียูวีในตู้โฟโตรีแอคเตอร์ ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น และวิเคราะห์ปริมาณไนเตรตและไนไตรท์ในน้ำเสียหลังการบำบัด น้ำเสียจากโรงงานทำขนม วางแผนการทดลองเช่นเดียวกับน้ำเสียสังเคราะห์ โดยใช้น้ำผสมแป้งสาลี 50%, 25% และ 12.5% (%w/v) นำน้ำเสียมาทดสอบกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ภายใต้รังสียูวีในตู้โฟโตรีแอคเตอร์ ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น ขั้นตอนที่ 2 การทดสอบความเป็นพิษของน้ำเสียหลังการบำบัดด้วยฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสม มีขั้นตอนการดำเนินงานดังต่อไปนี้ (1) การทดสอบความเป็นพิษของน้ำเสียหลังบำบัดต่อพืชน้ำ 1. คัดเลือกพืชน้ำที่พบได้ทั่วไปในบึงบอระเพ็ดมา 2 ชนิด จากนั้นนำมาอนุบาลในเรือนเพาะชำจนแข็งแรงดี 2. นำพืชน้ำแต่ละชนิดเลี้ยงในน้ำเสียสังเคราะห์ก่อนและหลังบำบัด โดยน้ำเสียหลังบำบัดนั้นจะกรองอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ที่อาจหลุดออกจากฟิล์มขณะผ่านกระบวนการโฟโตแคตาไลติกออกก่อน วางแผนการทดลองแบบ CRD 1 ปัจจัย 5 ระดับต่อพืชหนึ่งชนิดคือ ประเภทของน้ำเสียได้แก่ น้ำกลั่น น้ำเสียก่อนบำบัด น้ำเสียไม่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และกระตุ้นด้วยยูวี น้ำเสียที่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และกระตุ้นด้วยยูวี น้ำเสียที่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมและกระตุ้นด้วยยูวี ทำ 5 ซ้ำ สุ่มเก็บผลของน้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง ปริมาณคลอโรฟิลล์ และความยาวของพืชทุกๆ 15 วันเป็นเวลา 3 เดือน 3. เปลี่ยนน้ำเสียสังเคราะห์เป็นน้ำเสียจากอาคาร น้ำเสียจากการเกษตร น้ำเสียจากโรงฆ่าสัตว์ และน้ำเสียจากโรงงานทำขนมตามลำดับ ทำการทดลองแบบเดียวกัน (2) ความเป็นพิษของน้ำเสียหลังบำบัดต่อพืชเศรษฐกิจ 1. เตรียมถาดเพาะเมล็ดขนาด 50 หลุมต่อถาด ใส่ดินสำหรับปลูกพืชลงไปทุกหลุม 2. เพาะเมล็ดพืชเศรษฐกิจสามชนิดที่เลือกลงในถาดเพาะเมล็ด รดด้วยน้ำเสียสังเคราะห์ก่อนและหลังบำบัด โดยน้ำเสียหลังบำบัดนั้นจะกรองอนุภาคนาโนไทเทเนียมไดออกไซด์ที่อาจหลุดออกจากฟิล์มขณะผ่านกระบวนการโฟโตแคตาไลติกออกก่อน วางแผนการทดลองแบบ CRD 1 ปัจจัย 5 ระดับต่อพืชหนึ่งชนิดคือ ประเภทของน้ำเสียได้แก่ น้ำกลั่น น้ำเสียก่อนบำบัด น้ำเสียไม่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และกระตุ้นด้วยยูวี น้ำเสียที่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์และกระตุ้นด้วยยูวี น้ำเสียที่สัมผัสกับฟิล์มไทเทเนียมไดออกไซด์ผสมและกระตุ้นด้วยยูวี ทำ 5 ซ้ำ บันทึกผลอัตราเร็วของการงอก ร้อยละการงอก ความยาว น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของต้นอ่อนและปริมาณคลอโรฟิลล์เมื่อครบ 15 วัน (3) การวิเคราะห์ปริมาณโลหะไทเทเนียมและสารเจือที่ตกค้างในพืชน้ำ/พืชเศรษฐกิจ เก็บตัวอย่างพืชน้ำและพืชเศรษฐกิจจากข้อ (1) และ (2) ที่ได้รับน้ำชนิดต่างๆ มาสกัดแล้วส่งวิเคราะห์ปริมาณโลหะไทเทเนียมและสารเจือที่สะสมด้วยพืชด้วยเทคนิค Atomic Absorption Spectroscopy (AAS)
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
ศึกษาวิจัยกระบวนการบำบัดน้ำเสียด้วยปฏิกิริยาทางเคมีโดยเฉพาะการใช้วัสดุนาโนร่วมกับการเร่งปฏิกิริยาด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต และประเมินความเป็นพิษของน้ำเสียหลังการบำบัดเพื่อยืนยันถึงความปลอดภัยของกระบวนการบำบัดน้ำเสียวิธีการนี้ และทำให้เกิดความมั่นใจในการนำไปใช้ต่อไป
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชลดา เดชาเกียรติไกร ธีรการุณวงศ์ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 50%
2 นางสาวฤทัยรัตน์ โพธิ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 30%
3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราภรณ์ ฉุยฉาย นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย ผู้ร่วมวิจัย 20%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย