มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
สถาบันวิจัยและพัฒนา
ระบบจัดการงานวิจัย
NSRU
RESEARCH
หน้าหลัก
ค้นหารายการ
ข้อมูลงานวิจัย
ข้อมูลนักวิจัย
รายงานสถิติ
งานวิจัย
งานทรัพย์สินทางปัญญา
เข้าสู่ระบบ
รายละเอียดโครงการวิจัย
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การคัดเลือกแอคติโนมัยสีทที่มีความสามารถในการควบคุมราโรคพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
Isolation of actinomycetes with potential application for biocontrol of Fungal plant pathogens in Thai’s crops
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
1 มกราคม 2560
วันสิ้นสุดโครงการ :
31 ธันวาคม 2560
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
ความเสียหายของผลผลิตอันเนื่องมาจากโรคราในพืชเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญต่อเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก พบว่าโรคพืชจำนวนมากมีสาเหตุมาจากจุลินทรีย์ในกลุ่มรา ตัวอย่างเช่น โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) ที่เป็นปัญหาสำคัญกับพืชตระกูลไม้เถา เช่นแตงโม แตงกวา แตงร้าน มะระ เป็นต้น (กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร, 2555) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากราสายพันธุ์ Pseudoperonospora cubensis ในโรคใบจุดสีน้ำตาลในข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศก็มีสาเหตุมาจากราสายพันธุ์ Helminthosporium oryzae รวมทั้งโรคกาบใบแห้งของข้าว (Rhizoctonia sheath blight) เนื่องจากราสกุล Rhizoctonia spp. โรครากและโคนเน่าในทุเรียนมีสาเหตุมาจากราสายพันธุ์ Phytophthora scinnamomi โรคกล้าเน่า (damping off) โรคเน่าคอดินในผักหลายชนิดจากราในสกุล Pythium spp. (ยุทธศักดิ์ เจียมไชยศรี, 2555) โรคเน่าคอดินในมะเขือเทศ แตงกวา หัวบีท จากรา Rhizoctonia solani (Goudjal et al. 2014) โรครากเน่าใบเน่าในผักสลัดจากรา Phytophthora parasitica Dastur และโรคใบจุดในพริกที่มีสาเหตุจากรา Cercospora oryzae จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าราโรคพืชนั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรเป็นจำนวนมากในแต่ละปี (นุชนารถ จงเลขา, 2546) ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่พบว่ามีรายงานและการศึกษาเกี่ยวกับการใช้สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ได้จากธรรมชาติเพื่อต้านโรคพืชที่มีความจำเพาะกับโรคและใช้ครอบคลุมกับโรคพืชได้หลายชนิด ซึ่งยังเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจศึกษาเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับโรคพืชเศรษฐกิจ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเป็นการลดปริมาณการใช้สารเคมีในพืชอาหารในประเทศไทยอีกด้วย โดยมีรายงานว่าพบสารสารฆ่าแมลงตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศมากมาย อาทิ คาโบฟูแรน (Carbofuran) ไดโครโตโฟส (Dicrotophos) อีพีเอ็น (EPN) และเมโทมิล (Methomyl) (รณชัย โตสมภาค อ้างถึง สุภาพร ใจการุณ และคณะ, 2555) ซึ่งนอกจากปัญหาสารเคมีตกค้างในอาหารที่ส่งผลต่อผู้บริโภคแล้ว กลุ่มเกษตรนับว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากมีการรับสารเคมีโดยตรง และหากมีการสะสมในร่างกายในปริมาณมาก จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชีวิตได้ (พิษจากสารกำจัดศัตรูพืช, 2547) แอคติโนมัยสีทเป็นจุลินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความสามารถในการสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและสารปฎิชีวนะได้หลายชนิด (Marcia et al, 1983; Sadfi et al, 2001; El-Mehalawy et al, 2004; El-Tarabily, 2006; Errakhi et al, 2009; Gopalakrishnan et al, 2011) ตัวอย่างของแอคติโนมัยสีทกลุ่มสำคัญที่มีความสามารถสร้างสารปฏิชีวนะ ได้แก่ Streptomycetes, Actinoplanete และ Nocardioform (Okami and Hotta, 1988) โดยพบว่าสัดส่วน 2 ใน 3 ของสารปฏิชีวนะที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นผลิตโดยแอคติโนมัยสีท (Miyadoh, 1993) จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่าแอคติโนมัยสีทในกลุ่ม Streptomyces สามารถสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพได้หลายประเภท และพบว่าสารที่ได้มีคุณสมบัติในการต้านราอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างได้แก่ nystatin, polyoxin และ anthracycline เป็นต้น โดยเฉพาะ nystatin มีโครงสร้างเป็น polyene มีสมบัติฆ่าเชื้อราได้หลายชนิด (broad-spectrum fungicide) ส่วน polyoxin มีโครงสร้างเป็น nucleoside มีผลต่อการสร้างผนังเซลล์เชื้อรา (Macia et al., 1983) จากงานวิจัยเกี่ยวกับความสามารถในการสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพและสารปฎิชีวนะที่กล่าวมาข้างต้น ยังพบอีกว่าแอคติโนมัยสีทหลายสายพันธุ์ มีคุณสมบัติในการยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคพืชได้หลายชนิด เช่น การยับยั้งโรคเหี่ยวในต้นฝ้าย (Wilt) โดยแอคติโนมัยสีทที่คัดแยกจากรากพืช (Xue et al , 2013) การยับยั้งโรคยางไหล หรือ Gummy Stem Blight (GSB) โดยแอคติโนมัยสีทในกลุ่ม Streptomycetes spp. (Zhao et al, 2012) และกลุ่ม Actinoplanes Microbispora และ Streptomyces ที่ยับยั้งโรคเน่าคอดินในแตงกวาและมะเขือเทศ โรครากเน่าโคนเน่าในหัวบีท โรครากเน่าใน oilseed rape (El-Tarabily, 2006; Baharlouei et al, 2011; Goudjal et al, 2014)
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่มีความสามารถในการควบคุมการเจริญของราโรคพืช Sclerotium rolfsii และ Rhizoctonia solani 2. จัดจำแนกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่ควบคุมราโรคพืชได้ดีที่สุดในระดับสายพันธุ์ 3. เพื่อหาสูตรอาหารที่เหมาะสมในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช 4. ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช 5. ทดสอบความสามารถในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชในระดับกระถางปลูก
ขอบเขตของโครงการ :
1. คัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่มีความสามารถในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช และจัดจำแนกสายพันธุ์ที่สามารถควบคุมโรคพืชได้ดีที่สุด ในระดับสายพันธุ์ 2. คัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่สามารถผลิตสารควบคุมโรคพืชได้ดีที่สุด มาศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตสารดังกล่าว โดยออกแบบการทดลองด้วยวิธีการทางสถิติ 3. ทำการทดสอบสารที่ผลิตโดยแอคติโนมัยสีทสายพันธุ์คัดเลือก ในการยับยั้งการเจริญของราโรคพืชในระดับกระถางปลูก
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
1. ได้สายพันธุ์แอคติโนมัยสีทอย่างน้อย 1 สายพันธุ์ ที่มีความสามารถในการผลิตสารควบคุมราโรคพืช โดยจัดจำแนกในระดับสายพันธุ์ (species) 2. ได้สภาวะที่เหมาะสมในการผลิตสารควบคุมราโรคพืช 3. ได้สารควบคุมโรคพืช ที่เกษตรสามารถนำไปทดลองใช้เพื่อควบคุมโรคพืชได้ 4. เผยแพร่ผลงานวิจัยในการประชุม/สัมมนาภายในประเทศ และ/หรือในวารสารวิชาการนานาชาติ ได้แก่ Microbiological Research, Actinomycetologica, Chiang Mai J. Sci., Antonie van Leeuwenhoek เป็นต้น
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
1. แอคติโนมัยสีท และเชื้อราโรคพืช 1.1 แอคติโนมัยสีทที่แยกจากตัวอย่างดินจังหวัดจันทบุรี ระยอง และลพบุรี จำนวน 293 สายพันธุ์ 1.2 เชื้อราโรคพืช -โรคเน่าคอดินในมะเขือเทศที่มีสาเหตุมาจากรา Rhizoctonia salani -โรครากเน่าโคนเน่าผักหลายชนิดที่มีสาเหตุจากรา Sclerotium rolfsii 2. การคัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่สามารถผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช นำเชื้อแอคติโนมัยสีทที่แยกได้จากตัวอย่างดิน จำนวน 293 ไอโซเลต มาทดสอบความสามารถในการผลิตสารควบคุมราโรคพืช โดยวิธีที่ดัดแปลงจากวิธี Dual Culture Technique (Sadfi et al., 2001) เขี่ยเชื้อแอคติโนมัยสีทที่เจริญบนอาหาร yeast extract-malt extract agar medium (ISP-2) ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 7 วัน มาขีดเป็นเส้นตรงรูปกากบาทผ่านจุดศูนย์กลางของจานบนผิวอาหารวุ้น glucose-meat extract-peptone medium (GMP) ซึ่งประกอบด้วย glucose 15 กรัม peptone 6 กรัม meat extract 3 กรัม yeast extract 3 กรัม NaCl 5 กรัม MgSO4.7H2O 0.25 กรัม วุ้น 15 กรัม และน้ำกลั่น 1000 มิลลิลิตร โดยเพาะเชื้อแอคติโนมัยสีทก่อนเพาะเชื้อราโรคพืชเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นใช้เข็มเขี่ยเชื้อเขี่ยชิ้นวุ้นจำนวน 4 ชิ้นที่ตัดด้วย cork borrer ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม. ของเชื้อราสาเหตุโรคพืช 2 สายพันธุ์ คือ Rhizoctonia salani และ Rhizoctonia salani ที่มีอายุ 7 วัน ที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อ potato dextose agar (PDA) วางลงบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อในแต่ละด้านของเชื้อแอคติโนมัยสีทที่เพาะไว้แล้ว โดยให้มีระยะห่างจากเชื้อแอคติโนมัยสีท และเชื้อราโรคพืช 2.5 เซนติเมตร บ่มที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 3 – 5 วัน บันทึกระยะกว้างของรัศมีโคโลนีของเชื้อราโรคพืชที่เติบโตจากจุดที่เพาะไปจนถึงขอบโคโลนีในแนวที่ถูกยับยั้ง เป็นค่า R2 และระยะกว้างของรัศมีโคโลนีจากจุดที่เพาะไปจนถึงขอบโคโลนีของเชื้อโรคพืชที่เติบโตบนอาหารเลี้ยงเชื้อ potato dextose agar เป็นเวลา 3-5 วัน เป็นค่า R1 ความสามารถในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อราโรคพืชคำนวณโดยใช้สูตร [(R2-R1)/R1] x 100 คัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราโรคพืชทั้ง 3 โดยดูจากเปอร์เซ็นต์การยับยั้ง 3. การจัดจำแนกแอคติโนมัยสีทที่คัดเลือกในระดับสายพันธุ์ งานวิจัยนี้จะระบุชนิดของเชื้อที่ศึกษาจนถึงระดับสายพันธุ์ (species) โดยวิธี polyphasic taxonomic ที่ใช้กระบวนการทดสอบทั้ง 3 ด้าน ประกอบกันจนสามารถจัดจำแนกและระบุอัตลักษณ์ของจุลินทรีย์ในระดับ species ได้ ซึ่งมีต่อไปคีอ 1. สัณฐานวิทยาของจุลินทรีย์ (Morphology) ตรวจสอบด้วยการใช้ SEM และลักษณะบนจานอาหาร 2. ลักษณะทางเคมีของผนังเซลล์ ตรวจสอบจากการวิเคราะห์ชนิดของ 2,6 diaminopimelic acid (DAP test) 3. วิเคราะห์บริเวณยีน 16srRNA ที่เป็น conserve region ของแบคทีเรียทั่วไป รวมทั้งแอคติโนมัยสีท 3.1 การวิเคราะห์ชนิดของ 2,6 diaminopimelic acid ด้วยวิธี paper chromatography การวิเคราะห์ชนิดของ 2,6 diaminopimelic acid ที่เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ของแอคติโนมัยสีทที่คัดแยกได้ วิธีการทดลองได้ดัดแปลงจากวิธีของ Becker et al. (1964) และ Hasegawa et al. (1984) โดยเขี่ยเซลล์แอคติโนมัยสีทที่เจริญบนอาหาร GYE ประมาณ 1 ลูป นำใส่หลอดไมโครฟิวจ์ เติมสารละลาย 6N HCl ปริมาตร 50 ไมโครลิตร นำไปเข้า autoclave ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 นาที นำมาปั่นเหวี่ยงที่ความเร็วรอบ 5,000 รอบต่อนาที ประมาณ 5-10 นาทีเพื่อแยกส่วนใสออกจากตัวเซลล์ หยดส่วนใสของเซลล์ที่ถูกย่อยด้วยกรดที่เตรียมได้ สารละลายมาตรฐาน DAP และเซลล์ที่ถูกย่อยที่ทราบชนิดของ 2,6 diaminopimelic acid ทั้งสองชนิด ลงบนแผ่น โครมาโตกราฟฟี (Whatman 3MM) จุดละ 15 ไมโครลิตร โดยใช้ปริมาณน้อยในการหยดในแต่ละครั้ง สลับกับการเป่าให้แห้งด้วยที่เป่าผม จนครบ 15 ไมโครลิตร จากนั้นนำไปแช่ในแท็งค์แก้วที่อิ่มตัวไปด้วยตัวทำละลาย mobile phase ที่ประกอบด้วย methanol : H20 : 10N HCl : pyridine ในอัตราส่วน 80 :17.5 : 2.5 : 10 เมื่อตัวทำละลายเคลื่อนขึ้นมาจนถึงขอบด้านบนของกระดาษกรองแล้ว ผึ่งให้หมาดเล็กน้อย นำมาพ่นด้วยสารละลาย 0.2 % นินไฮดรินในอะซิโตนให้ทั่วทั้งแผ่น รอให้แห้ง และนำมาอบด้วยความร้อน 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 5 นาที บันทึกผลโดยดูจากแถบสีเขียวที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับแถบของสารละลายมาตรฐาน DAP 3.2 การศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา 3.2.1 การศึกษาสีสปอร์ สีเส้นใย และรงควัตถุที่ละลายน้ำ เลี้ยงแอคติโนมัยสีทบนอาหาร oatmeal agar (ISP3) (Shirling and Gottlieb, 1966) สังเกตการเจริญ บันทึกสีของเส้นใยอาหาร เส้นใยอากาศ สีสปอร์ รวมทั้งสีของรงควัตถุที่ละลายน้ำที่สามารถสร้างได้ และตรวจสอบลักษณะของเส้นใยและสปอร์ของสายพันธุ์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscope, SEM) 3.2.2 การวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน 16S rRNA gene และการวิเคราะห์สายวิวัฒนาการ ในสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการยับยั้งราก่อโรคได้ดีที่สุด วิธีสกัดดีเอ็นเอของแอคติโนมัยสีท ดัดแปลงจาก Kieser et al. (2000) เพิ่มปริมาณยีนโดยเทคนิค polymerase chain reaction (PCR) โดยใช้ไพรเมอร์ 27F (5’-AGAGTTTGATCMTGGCTCAG-‘3, M = C:A) และไพรเมอร์ 1525R (5’AAGGAGGTGWTCCARCC-‘3, W = A:T และ R =A:G ) (Lane, 1991) จากนั้นตรวจสอบปริมาณและคุณภาพผลิตภัณฑ์ PCR ด้วยวิธีอะกาโรสเจลอิเล็กโตรโฟรีซิส ทำผลิตภัณฑ์ PCR ให้บริสุทธิ์และการหาลำดับเบส จากนั้นบ่งชี้สายพันธุ์แอคติโนมัยสีทจากลำดับเบสของ 16S rRNA บางส่วนและการสร้างแผนภูมิวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการ (phylogenetics tree) 4. การคัดเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช คัดเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสมในการผลิตสารยับยั้งการเจริญของราโรคพืช จากสูตรอาหาร 3 ชนิด ได้แก่ 1. Starch-Casein agar (SCA) ประกอบด้วย soluble starch 10 กรัม casein 0.3 กรัม KNO3 2 กรัม NaCl 2 กรัม MgSO4.7H2O 0.05 กรัม CaCO3 0.02 กรัม FeSO4.7H2O 0.01 กรัม K2HPO4 2 กรัม วุ้น 18 กรัม น้ำกลั่น 1000 มิลลิลิตร พีเอช 7.0 2. Yeast extract-Malt extract agar (YM) ประกอบด้วย malt extract 3 กรัม yeast extract 3 กรัม peptone 5 กรัม glucose 10 กรัม น้ำกลั่น 1,000 มิลลิลิตร วุ?น 20 กรัม 3. Yeast extract-Malt extract agar (ISP-2) ประกอบด้วย yeast extract 4.0 กรัม malt extract 10.0 กรัม dextrose 4.0 กรัม วุ้น 15.0 กรัม และน้ำกลั่น 1000 มิลลิลิตร โดยนำแอคติโนมัยสีทที่คัดเลือกจากข้างต้น มาเลี้ยงในอาหารทั้ง 3 ชนิด เป็นเวลา 12 วัน เก็บตัวอย่างทุกวัน และนำมาทดสอบความสามารถในการยับยั้งการเจริญของราโรคพืชทั้ง 3 ชนิด โดยวิธี agar diffusion method คัดเลือกสูตรอาหารที่ผลิตสารที่สามารถยับยั้งราโรคพืชทั้ง 3 ชนิดได้ดีที่สุด เพื่อนำไปศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อไป 5. การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชโดยวิธีทางสถิติ จากสูตรอาหารที่คัดเลือกจากข้างต้น นำมาศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช โดยวิธีพื้นผิวตอบสนอง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตสารควบคุมราโรคพืชกับกลุ่มของปัจจัยที่ศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ได้ออกแบบการทดลองแบบ central composite design (CCD) ที่มี 3 ปัจจัย ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือจำนวนจุดของ factorial point มีจำนวนเท่ากับ 23 โดยแต่ละปัจจัยทั้งหมด 3 ปัจจัย จะทำการทดลอง 2 ระดับ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ -1 แทนระดับต่ำ และ +1 แทนระดับสูง ดังนั้น การทดลองสำหรับ factorial point สามารถเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ (X1, X2, X3) = (?1, ?1, ?1) จำนวนจุดของ center point (no) จะต้องมีการทำซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง เพื่อคำนวณหา pure error ในการวิเคราะห์ การทดสอบความเหมาะสมของรูปแบบ การทดลองสำหรับ center point สามารถเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ (X1, X2, X3) = (0, 0, 0) จำนวนจุดของ star point มีจำนวนเท่ากับ 2(3) โดยแต่ละจุดห่างจาก center point ด้วยระยะเท่ากันคือระยะ ? โดย เมื่อศึกษา 3 ปัจจัยจึงมีค่า ? เท่ากับ ?1.68 การทดลอง สำหรับ star point สามารถเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ (X1, X2, X3) = (?1.68, ?1.68, ?1.68) สามารถออกแบบจำนวนชุดการทดลองได้จาก 2k + 2k + no เมื่อ k คือ จำนวนตัวแปรที่ต้องการศึกษาและ no คือ จำนวนซ้ำการทดลองที่จุดศูนย์กลาง (center point) ดังนั้นเมื่อศึกษา 3 ปัจจัย จึงเท่ากับ 23 + 2(3) + 3 สามารถออกแบบการทดลองทั้งหมด 17 การทดลอง ซึ่งแต่ละการทดลองทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยแบ่งปัจจัยออกเป็น 5 ระดับ (-?, -1, 0, +1, + ?) ทำการศึกษาการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชตามแบบการทดลองที่ได้ออกแบบไว้ทั้ง 17 ทดลอง หลังจากนั้นเก็บตัวอย่าง และนำมาทดสอบความสามารถในการยับยั้งการเจริญของราโรคพืชทั้ง 3 ชนิด โดยวิธี agar diffusion method นำผลการทดลองที่ได้ไปวิเคราะห์ค่าทางสถิติโดยใช้การหาสมการการถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชและปัจจัยที่นำมาศึกษาโดยใช้โปรแกรม Design Expert version 7.0 และตรวจสอบความเหมาะสมของแบบจำลองโดยทดสอบการแจกแจงแบบปกติ และทดสอบความคงที่ของความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน และนำแบบจำลองที่ได้ไปทำนายค่าของปัจจัยที่เหมาะสมต่อการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชโดยใช้การหาพื้นผิวตอบสนอง 6. การศึกษาผลของอุณหภูมิและพีเอชต่อการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช ทำการศึกษาอุณหภูมิและพีเอชที่เหมาะสมสำหรับการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช โดยแอคต
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
งานวิจัยนี้ เป็นการคัดแยกหาแอคติโนมัยสีทสายพันธุ์ที่สามารถยับยั้งโรคพืชที่เป็นปัญหาสำคัญได้ดีและสามารถยับยั้งโรคพืชได้หลายชนิด โดยคัดเลือกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่มีความสามารถในการควบคุมการเจริญของราโรคพืช Sclerotium rolfsii และ Rhizoctonia solani จัดจำแนกสายพันธุ์แอคติโนมัยสีทที่ควบคุมราโรคพืชได้ดีที่สุดในระดับสายพันธุ์ จากนั้นหาสูตรอาหารรวมทั้งสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืช และทดสอบความสามารถในการผลิตสารควบคุมการเจริญของราโรคพืชในระดับกระถางปลูก
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่
รายชื่อ
ประเภทนักวิจัย
บทบาทหน้าที่
สัดส่วน
1
นายนันทวุฒิ นิยมวงษ์
นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย
หัวหน้าโครงการวิจัย
40%
2
นางอัลฟาล ตาเละ
นักวิจัยภายนอกมหาวิทยาลัย
ผู้ร่วมวิจัย
15%
สถาบันวิจัยและพัฒนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130
หมายเลขโทรศัพท์
056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย
website
rdi.nsru.ac.th
Smart Rdi Nsru