รายละเอียดโครงการวิจัย

ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :
การอนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จากดนตรีพื้นบ้านโดยการเรียนรู้ แบบมีส่วนร่วม
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :
Conservation, Development and Application from Fork Music Cultural by Participatory Learning
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ลักษณะโครงการวิจัย :
โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :
ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :
โครงการวิจัยใหม่
วันเริ่มต้นโครงการ :
11 พฤศจิกายน 2558
วันสิ้นสุดโครงการ :
10 พฤศจิกายน 2559
ประเภทของการวิจัย :
งานวิจัยประยุกต์
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :
         สังคมไทยได้ชื่อว่าเป็นสังคมที่กำลังเผชิญหน้ากับความหลากหลายของวัฒนธรรมโลกในศตวรรษที่ 21 หรือสังคมยุคโลกาภิวัตน์ และก้าวเข้าสู่สังคมประชาคมอาเซียนเมื่อปี 2558 ส่งผลให้ค่านิยมต่าง ๆ ของคนไทยในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตที่ไม่ได้มีการปรับหรือปรุงแต่งให้เข้ากับภูมิปัญญาไทยให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว ทำให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่ผู้ที่รักและรู้คุณค่าในศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยอยู่ในชุมชน การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วอย่างขาดเหตุผล มิได้คำนึงถึงสภาพแวดล้อมและขีดความสามารถของสังคมในเรื่องที่เกี่ยวข้องย่อมมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต ดังนั้นความเข้าใจ รู้คุณค่า และความเป็นมาของวัฒนธรรมของตนย่อมจะทำให้สามารถพิจารณาความเหมาะสมที่จะดำรงรักษา หรือยอมรับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวัฒนธรรมบางอย่างของตนโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางสังคมที่รุนแรงเกินไป ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ไว้ว่า “...นอกจากการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังสอนให้อนุรักษ์วัฒนธรรมเพราะเป็นสิ่งที่เป็นรากฐานชีวิตของ นักเรียนทุกคน เมื่อรู้ว่าท้องถิ่นของตนมีอะไรดีบ้าง ก็จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ มีการบันทึกสิ่งที่เป็นของมีคุณค่าที่เป็นความคิดของมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณของบุคคล ให้ร่วมกันทำงานอนุรักษ์พร้อมๆ กับงานพัฒนาชุมชน...” และดังพระราชนิพนธ์ เรื่อง เด็กและดนตรี ในหนังสือมณีพลอยร้อยแสงของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ความตอนหนึ่ง ว่า “...ถึงแม้จะไม่ได้เล่นดนตรีเก่งเป็นอาชีพ แต่เสียงดนตรีจะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบร่มรื่นฝึกสมองทำให้มีสมาธิขึ้น การได้เล่นดนตรีเป็นหมู่เป็นการส่งเสริมความ สามัคคี ได้พบปะสังสรรค์กัน ได้สร้างความสัมพันธ์ในฐานะนักดนตรีด้วยกัน ในฐานะเพื่อน ฐานะครูกับศิษย์...” เนื่องจากจังหวัดนครสวรรค์มีวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านที่โดดเด่นและเข้มแข็งสะท้อนให้เห็นถึงความมีเอกลักษณ์ของจังหวัด ซึ่งจากหลักฐานดังที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชนุภาพ ทรงบันทึกเหตุการณ์ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประภาสต้นมณฑลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2449 ว่า “วันที่ 28 สิงหาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449) เสด็จพระราชดำเนินผ่านอำเภอเก้าเลี้ยว ได้มีผู้หญิงตีเถิดเทิงประโคมรับเสด็จ” ทำให้ทราบว่า ชาวนครสวรรค์มีการเล่นเถิดเทิงหรือกลองยาวโดยใช้ผู้หญิงเป็นผู้บรรเลงมาแล้วกว่า 110 ปี อย่างไรก็ตาม การสืบทอดดนตรีพื้นบ้านเป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐเป็นสำคัญ แม้สามารถทำให้วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นสืบทอดต่อมา แต่กลับทำให้กลายเป็นการแสดงเพื่อการอนุรักษ์อย่างมีแบบแผน ขณะที่ดนตรีพื้นบ้านที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ซึ่งชาวบ้านทุกคนสามารถเข้าร่วมกิจกรมค่อย ๆ หมดไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม การสร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้เด็กและเยาวชน ได้ตระหนักถึงความเป็นชาติไทย สิ่งสำคัญประการหนึ่ง คือ การได้เรียนรู้ในด้านดนตรีพื้นบ้าน เพราะดนตรีพื้นบ้าน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษไทยโดยได้ผสมผสานภูมิปัญญาในแต่ละเรื่องไว้อย่างกลมกลืนและชาญฉลาด เมื่อเด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ถึงความเป็นมา รู้คุณค่า และเกิดทักษะทางด้านดนตรีพื้นบ้าน จะทำให้เกิดความซาบซึ้ง รักและหวงแหน ความภาคภูมิใจและรักท้องถิ่นของตน ทั้งนี้จิตวิญญาณของดนตรีพื้นบ้านซึ่งซึมซับอยู่ในหมู่เด็กและเยาวชนจะเป็นแรงผลักดันสำคัญช่วยรักษา อนุรักษ์วัฒนธรรมดนตรีให้คงอยู่ได้ พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรในท้องถิ่นและกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมโดยทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น เพื่อการคงอยู่แบบยั่งยืนของความรู้และวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้าน โดยการบันทึกในเชิงวิชาการ และการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการใช้ผลงานวิจัยตอบสนองต่อชุมชนและท้องถิ่นได้อย่างต่อเนื่องในรูปของนวัตกรรมชุดการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ได้จริง อันก่อให้เกิดพลังการขับเคลื่อน เกิดการติดอาวุธทางปัญญาแก่ชุมชน และบุคลากรที่ร่วมกิจกรรม เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้บนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น และปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแห่งการดำรงชีวิตที่สมดุลในทุกมิติ อันจะส่งผลถึงความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของสังคมไทยสืบไป
วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1. เพื่อศึกษาแหล่งวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านในจังหวัดนครสวรรค์ 2. เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ พัฒนา และการใช้ประโยชน์จากดนตรีพื้นบ้าน
ขอบเขตของโครงการ :
ขอบเขตด้านพื้นที่ จังหวัดนครสวรรค์ ขอบเขตด้านเนื้อหา 1. ศึกษาแหล่งวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านในจังหวัดนครสวรรค์ 2. กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ พัฒนา และการใช้ประโยชน์จากดนตรีพื้นบ้าน 3. การสังเคราะห์องค์ความรู้ดนตรีพื้นบ้านในจังหวัดนครสวรรค์ มาพัฒนาบทเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา และสำหรับชุมชน ขอบเขตด้านเวลา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :
เกิดชุดความรู้ดนตรีท้องถิ่น และเกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในระดับพื้นที่ (P) พัฒนาศักยภาพของชุมชนในการอนุรักษ์ พัฒนา และการใช้ประโยชน์จากดนตรีพื้นบ้าน และเสริมสร้างศักยภาพของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ภายในชุมชน เกิดกลไกความร่วมมือในกิจกรรมด้านต่างๆ เช่น ด้านเยาวชน ด้านสุขภาพ ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม สามารถต่อยอดไปสู่การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ ระดับความสำเร็จ คือ (I) เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น เครือข่ายเยาวชน เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายด้านสุขภาพ เครือข่ายด้านวัฒนธรรม นำมาสู่สังคมแห่งการเรียนรู้และเกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่สอดคล้องกับวิถีชุมชนอันเป็นเสมือนดังภูมิคุ้มกันของท้องถิ่นและเสริมสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่น (G)
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :
         
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :
-
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ :
ลำดับที่ รายชื่อ ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่ สัดส่วน
1 นายภิญโญ ภู่เทศ นักวิจัยภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 100%

สถาบันวิจัยและพัฒนา

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ศูนย์การศึกษาย่านมัทรี
398/1 หมู่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ 60130

หมายเลขโทรศัพท์

056-219100 ต่อ 1139 งานวิจัย